
เมื่อเร็วๆนี้มีโอกาสได้ไปฟัง นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมเวทีเสวนาพิเศษในหัวข้อ “รวมพลังสู่การดำเนินธุรกิจยุคใหม่อย่างยั่งยืน” ในงาน FTI Expo 2025 ที่จัดขึ้นโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
ซีอีโอ “คงกระพัน” อรรถาธิบายว่า แนวทางการบริหารจัดการธุรกิจให้ยั่งยืนตามหลัก ESG (สิ่งแวดล้อมสังคมและธรรมาภิบาล) ซึ่ง ปตท.มองว่า ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มจากการหาความสมดุลทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม แม้ว่า ปตท.จะเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ แต่ก็เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ต้องคำนึงถึงผลตอบแทนของการลงทุนด้วย
ดังนั้น การดำเนินธุรกิจของ ปตท.จะยังอยู่บนธุรกิจหลักคือ Oil & Gas ที่ต้องขับเคลื่อน ให้เกิดการเติบโตอย่างมั่นคง และต้องควบคู่ไปกับการดูแลภาวะโลกร้อน ฉะนั้น การลงทุนทางธุรกิจของ ปตท.จะต้องลงทุนไปพร้อมกับการลงทุนเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ด้วยเช่นกัน
“ปตท.มีภารกิจสำคัญในการดูแลความมั่นคงทางพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการใช้และไม่ขาดแคลน ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ภายใต้บริบทโลกที่เผชิญกับความผันผวนมากขึ้น รวมถึงปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ ปตท.ต้องดูแลในเรื่องนี้ และปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน”
ที่สำคัญกลุ่มประเทศอาเซียนยังต้องใช้เวลาดำเนินการ 20-30 ปี กว่าจะเปลี่ยนผ่านได้ โดยระหว่างนี้ยังจำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงไฮโดรคาร์บอน ซึ่งก็คือ ก๊าซธรรมชาติ ที่ถือว่าเป็นพลังงานฟอสซิลที่สะอาดที่สุด และในประเทศไทย มีการผลิตก๊าซธรรมชาติได้เกือบ 60% ของความต้องการใช้ ที่เหลือก็เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ
บริษัทพลังงานทั่วโลกเห็นตรงกันว่า ก๊าซธรรมชาติจะเป็นเชื้อเพลิงหลัก เข้ามารองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน แต่จะใช้ทำอย่างไร เพื่อไม่ให้ขัดกับบริบทลดโลกร้อน ปตท.จึงต้องดำเนินการเรื่องลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ควบคู่กันไป โดยวิธีแรกเริ่มจากการปรับปรุงประสิทธิภาพ กระบวนการผลิต ปรับปรุงเครื่องจักร นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
วิธีที่สอง ปรับพอร์ตธุรกิจ เพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอนโดยเชื่อว่า อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในประเทศไทย เช่น โรงกลั่น ปิโตรเคมี โรงไฟฟ้า และโรงปูนซีเมนต์
“เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) โดยไม่มีการดักจับคาร์บอน (Carbon Capture) ฉะนั้น การดักจับคาร์บอนจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และประเทศไทยก็มีโครงสร้างพื้นฐานที่จะดำเนินการได้ อย่างหลุมเก็บปิโตรเลียมใต้ทะเล ก็สามารถใช้เป็นพื้นที่การดักจับคาร์บอนได้”
ทำให้ก้าวย่างของ ปตท.ก็จะลงทุนในเรื่องนี้ เพราะ ปตท.ก็ปล่อยคาร์บอนพอสมควร จึงต้องช่วยตัวเอง และต้องทำเผื่อให้กับอุตสาหกรรมในประเทศไทย ให้ได้ใช้ประโยชน์เก็บกักคาร์บอนด้วย โดยมี ส.อ.ท.เข้ามาร่วมผลักดันในเรื่องนี้ อีกวิธีการที่จะช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอน คือ การลงทุนในเทคโนโลยีไฮโดรเจน โดยทุกๆโมเลกุลไฮโดรเจนที่นำมาใช้ ก็จะลดคาร์บอนลงได้ด้วย การลงทุนดังกล่าวช่วยตอบโจทย์ ปตท. และภาคอุตสาหกรรมในประเทศที่ต้องลดคาร์บอน
“ปตท.จะเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการกักเก็บคาร์บอน และเชื้อเพลิงไฮโดรเจน เพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรม ทั้ง 2 เรื่องนี้เปรียบเสมือน ภารกิจหลักของ ปตท.ในระยะยาว”.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม