
สัปดาห์นี้คอลัมน์ “Sustainable together” มีโอกาสไปนั่งฟัง “ปิยะชาติ อิศรภักดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แบรนดิ แอนด์ คอมพานีส์ จำกัด หรือ BRANDi ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ระดับองค์กร เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต และการเติบโตอย่างยั่งยืน ฉายภาพทิศทางโลกในงาน BRANDi and Companies Presents “FUTURE READY 2025” ต่อทิศทางการขับเคลื่อนองค์กรธุรกิจระดับโลกยังต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ว่า ปัญหาระดับโลกที่มิอาจแก้ได้ชั่วข้ามคืน แต่ทุกภาคส่วนควรตระหนักและเตรียมพร้อมรับมือ โดยมีข้อสรุปออกมาเป็น 4 ต. คือ
ตื่นตูม (Panic) ระหว่าง 2 ชาติ คือ สหรัฐอเมริกา และ จีน โดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ 2.0 และเทคโนโลยี ที่จะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในภาพใหญ่ที่ ทั่วโลกต้องจับตา
แตกแยก (Fragmentation) ความขัดแย้งระหว่างรัฐ ที่มีจำนวนมากถึง 59 เหตุการณ์ นำไปสู่สงครามข้ามประเทศ ซึ่งถือเป็นครั้งใหญ่นับตั้งแต่ปี 2489 หรือในรอบ 79 ปีที่ผ่านมา หลังผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่ 2
ตีบตัน (Stagnation) จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกคาดการณ์อยู่ที่ 3.3% จากก่อนหน้า 4% ในช่วงก่อนการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ครั้งใหญ่ (Pandemic) ซึ่งถือเป็นความท้าทายในการเติบโตทุกภาคอุตสาหกรรม
ตกต่ำ (Degradation) จากผลกระทบของมนุษยชาติต่อโลก อาจทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นอีก 1.8 องศาเซลเซียส ซึ่งอาจนำไปสู่การแตกสลายของโลก
ขณะที่ประเทศไทยต้องเปลี่ยนจาก 4 ต. ให้เป็น 2 ต่อ คือ ต่อยอดและเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งต้องหันมาทบทวนและถามตัวเองว่า “เก่งอะไร” แล้วจะไปต่อในทิศทางใดเพื่อสร้างความยั่งยืนบนเวทีโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคต และต้องสอดคล้องกับหลักของ 3 P คือ คน : People, โลก : Planet, ผลกำไร : Profit
และขอย้ำว่าเรื่อง “คน” เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพัฒนาไปพร้อมๆกับการใช้เทคโนโลยี เพื่อให้องค์กรมีการเติบโตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
“ปิยะชาติ” ยังเล่าต่อว่า ทิศทางการขับเคลื่อนองค์กรธุรกิจระดับโลกยังต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ต้องเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์โลกกำลังขับเคลื่อนไปสู่ความร่วมมือระหว่างพันธมิตร หรือการคอลลาบอเรชัน (collaboration) มากขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในด้านต่างๆที่จะเติบโตไปร่วมกัน ซึ่งจะต้องเริ่มตั้งแต่การปรับเปลี่ยนชุดความคิดให้เป็นเรื่องปกติ จากเดิมที่ใช้ชุดความคิดแบบเฉพาะตัวเอง เพื่อเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกใหม่
ในฐานะภาคเอกชนไทย ที่เข้าร่วมการประชุมประจำปี สภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum : WEF จัดขึ้น ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส เมื่อเดือน ม.ค.68 ที่ผ่านมานั้น พบว่า การหารือระหว่างผู้นำโลกในประเด็นเชิงเศรษฐกิจนั้น ยังมีท่าทีในลักษณะการเจรจาต่อรองมากขึ้น ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนของการเจรจาต่อรอง เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศนโยบายปรับขึ้นภาษีอัตรา 25% ของประเทศคู่ค้า
ทันทีที่ประกาศออกสื่อและกำหนดวันมีผลบังคับใช้นั้น ซึ่งก่อนวันจะบังคับใช้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้มีการเจรจาต่อรองกันและปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าระหว่างคู่ค้า ซึ่งจะเห็นได้ว่า เมื่อมีการเจรจาต่อรองกัน การปรับขึ้นภาษีก็จะมีผลช้าลง หรือปรับในอัตราที่ลดลง นั่นหมายความว่าจากนี้ไปจะเห็นการ “เจรจาต่อรอง” ของประเทศพันธมิตรคู่ค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ฉะนั้น สถานการณ์โลกระหว่าง “สหรัฐฯ-จีน” ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แบบห้ามกะพริบตา โดยเชื่อว่าหากมีข้อขัดแย้งกัน หรือมีความร่วมมือกัน สร้างผลกระทบต่อโลกทั้งใบเป็นแน่ ขณะเดียวกันการโคจรพบกันระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้ทรงอำนาจทางการเมือง และ “อีลอน มัสก์” ผู้ที่ร่ำรวยมหาศาลของโลก หากจับมือดำเนินการเรื่องใด เชื่อว่าสั่นสะเทือนโลกสะเทือนใจแน่นอน!!
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม