แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand) เผยแพร่ผลประเมินธนาคารไทยประจำปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่ 6 แล้ว ชี้ธนาคารไทยให้ความสำคัญกับการประเมินมากขึ้น เป็นปีแรกที่ธนาคารเข้าร่วมครบทั้ง 11 แห่ง ด้านธนาคารพาณิชย์ "ธนาคารทหารไทยธนชาต" คะแนนนำโด่ง ส่วนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ "ออมสิน" ครองเบอร์หนึ่ง ขณะที่หมวด “คุ้มครองผู้บริโภค” ธนาคารกรุงเทพคะแนนสูงสุด
ในยุคที่คำว่า Net Zero, ESG, SDG, Climate Change เข้าสู่กระแสสำนึกของสังคม ธุรกิจถูกคาดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ ให้เปลี่ยนผ่านสู่วิถี “ธุรกิจที่ยั่งยืน” อย่างแท้จริง
นั่นจึงทำให้ แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand) ซึ่งประกอบไปด้วย บริษัท ป่าสาละ จำกัด มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLaw) มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) และ International Rivers
จึงได้มีการประเมินนโยบายด้าน ESG ของธนาคารและสถาบันการเงินเฉพาะกิจไทย ประจำปี 2566 ทั้ง 11 แห่ง โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานของแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมนานาชาติ (Fair Finance Guide International) เพื่อผลักดันให้ภาคการเงินการธนาคารของไทยก้าวสู่แนวคิดและวิถีปฏิบัติของ ‘การธนาคารที่ยั่งยืน’ (sustainable banking) อย่างแท้จริง โดยในที่นี้ได้มีการจัดทำการประเมินนโยบายของธนาคารไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา และปีนี้ก็ถือเป็นปีที่ 6
ซึ่งจากผลประเมินธนาคารไทยประจำปี 2566 พบว่า “ธนาคารไทย” ให้ความสำคัญกับการประเมินมากขึ้น โดยเป็นโครงการที่ประเมินผลประกอบการด้าน ESG ที่เฉพาะเจาะจง รอบด้าน และละเอียดที่สุดในประเทศไทย รวม 13 หมวด ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การทุจริตคอร์รัปชัน ความเท่าเทียมทางเพศ สุขภาพ สิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงาน ธรรมชาติ ภาษี อาวุธ การคุ้มครองผู้บริโภค การขยายบริการทางการเงิน นโยบายค่าตอบแทน และความโปร่งใสและความรับผิดชอบ
สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าคณะวิจัยแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย กล่าวว่า การประเมินธนาคารในปีที่ 6 นี้ เป็นปีแรกที่แนวร่วมฯ สามารถเข้าพบธนาคารไทยเพื่อหารือในกระบวนการรับฟังความคิดเห็น ครบทั้ง 11 แห่ง คือ ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารออมสิน, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, ธนาคารทหารไทยธนชาต, ธนาคารเกียรตินาคินภัทร, ธนาคารทิสโก้ และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
โดย สฤณี ประเมินว่า ความสำเร็จนี้มาจากปัจจัยต่างๆ อาทิ การทำงานมาอย่างต่อเนื่องของแนวร่วมฯ ที่ทำให้ธนาคารหลายแห่งเริ่มคุ้นเคยกับการประเมิน และมองว่าเป็นประโยชน์กับพวกเขา โดยมีบางแห่งให้ข้อมูลว่า เกณฑ์ที่แนวร่วมฯ ใช้นั้นช่วยในการพัฒนานโยบายที่เกี่ยวกับความยั่งยืนของธนาคาร
รวมทั้งการประเมินนี้สะท้อนสิ่งที่เรียกว่า Race to the Top หรือการแข่งขันที่เป็นประโยชน์ โดยมีข้อสังเกตว่า ในการหารือ ธนาคารหลายแห่งจะถามถึงคู่แข่งของตัวเอง แสดงว่าธนาคารพยายามจะ benchmark หรือเปรียบเทียบการทำงานของตัวเองกับธนาคารที่เขามองว่าเป็นคู่แข่ง จึงเป็นสาเหตุในการเข้าร่วมมากขึ้น และสุดท้ายคือ กระแสของ ESG ที่ถือเป็นการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน
“นโยบายหรือเกณฑ์ที่แนวร่วมฯ นำมาใช้ประเมินคะแนนไม่ได้คิดมาลอยๆ แต่คิดบนพื้นฐานของประเด็น ESG ที่สำคัญในระดับโลกและประชาคมโลกจับตา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เรื่องสิทธิมนุษยชน ประเด็นเหล่านี้มีพัฒนาการในแต่ละปี และเริ่มเป็นประเด็นที่สำคัญในไทย ภาคธุรกิจหรือลูกค้าธนาคารก็ต้องให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ภาครัฐมีแนวทางให้การสนับสนุนมากขึ้น กระแส ESG ที่เข้มข้นจึงอาจเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ธนาคารหลายแห่งให้ความสำคัญกับการประเมินคะแนนมากขึ้น”
ทั้งนี้จากข้อมูลพบว่า ธนาคารได้คะแนนเฉลี่ยลดลงจาก 33.94 คะแนนในปี 2565 เป็น 32.92 คะแนนในปี 2566 (ลดลง 0.78%) ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงเกณฑ์การประเมิน โดยมีการยกเลิกเกณฑ์การประเมินเดิม และเพิ่มเกณฑ์การประเมินใหม่ รวมถึงเกณฑ์การประเมินมีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นจนส่งผลให้คะแนนเฉลี่ยในปีนี้ลดลง
สำหรับผลการประเมินธนาคาร ปี 2566 ธนาคารที่ได้คะแนนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ธนาคารทหารไทยธนชาต (39.20%) ธนาคารกสิกรไทย (33.14%) ธนาคารกรุงไทย (30.79%) ธนาคารไทยพาณิชย์ (29.85%) และ ธนาคารกรุงเทพ (29.49%) โดยธนาคารที่ได้คะแนนสูงสุด 4 อันดับแรก ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากผลการประเมินปี 2565 ขณะที่ธนาคารกรุงเทพขยับจากอันดับ 6 มาเป็นอันดับ 5 แทนที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (27.64%)
หากพิจารณาเฉพาะคะแนนของธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง พบว่าในภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยลดลงจาก 38.32 คะแนน ในปี 2565 เป็น 37.39 คะแนนในปี 2566 (ลดลง 0.03%)
ขณะที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจ 3 แห่ง (ธนาคารออมสิน, ธนาคาร ธ.ก.ส. และเอสเอ็มอีแบงก์) โดยธนาคารที่ได้คะแนนสูงสุดคือ ธนาคารออมสิน ทั้งนี้ยังพบว่าในกลุ่มนี้มีคะแนนเฉลี่ยลดลงเช่นกันจาก 22.25 คะแนน ในปี 65 เป็น 21.01 คะแนน ในปี 66 (ลดลง 0.5%)
เมื่อพิจารณาผลการประเมินรายหมวด หมวดที่ธนาคารทั้งหมดได้รับคะแนนเฉลี่ยสูงสุด 3 อันดับแรก จากคะแนนเต็ม 10 ได้แก่ การคุ้มครองผู้บริโภคได้รับคะแนนเฉลี่ย 6.55 โดยเป็นธนาคารกรุงเทพ ต่อมาคือ การขยายบริการทางการเงิน อยู่ที่ 6.51 คะแนน เป็นธนาคารไทยพาณิชย์ และการทุจริตคอร์รัปชัน อยู่ที่ 4.79 คะแนน เป็นธนาคารกสิกรไทย
ส่วนหมวดที่ธนาคารทั้งหมดได้รับคะแนนน้อยที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 0.82 คะแนน สุขภาพ 0.55 คะแนน และนโยบายค่าตอบแทน 0.46 คะแนน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของคะแนนเฉลี่ยเปรียบเทียบกับผลการประเมินปี 2565 พบว่ามีเพียง 4 หมวดที่มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ได้แก่ การทุจริตคอร์รัปชัน เพิ่มขึ้น 0.28 คะแนน, สิทธิมนุษยชน เพิ่มขึ้น 0.12 คะแนน รวมทั้ง ความเท่าเทียมทางเพศ 0.06 คะแนน และความโปร่งใส ความรับผิดชอบ 0.01 คะแนน ขณะที่หมวดที่มีคะแนนเฉลี่ยลดลงมากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ ธรรมชาติ สิทธิแรงงาน และการขยายบริการทางการเงิน