Larry Page ผู้ให้กำเนิด Google อัลกอริทึมเปลี่ยนโลก ที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือเสิร์ช แต่ครองระบบข้อมูล

Personal Finance

Wealth Management

Tag

Larry Page ผู้ให้กำเนิด Google อัลกอริทึมเปลี่ยนโลก ที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือเสิร์ช แต่ครองระบบข้อมูล

Date Time: 12 ต.ค. 2568 21:16 น.

Video

จาก "รวยเงิน จนเวลา" สู่เกษียณ 35! ของพอล ภัทรพล? l Money Secret EP.13

Summary

Larry Page เกิดในครอบครัวนักวิทยาการคอมพิวเตอร์ และได้รับอิทธิพลด้านเทคโนโลยีมาตั้งแต่เด็ก

  • Page ร่วมกับ Sergey Brin ก่อตั้ง Google ในปี 1998 โดยมี PageRank เป็นเทคโนโลยีหลัก
  • Google เติบโตอย่างรวดเร็ว และขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์และบริการหลากหลาย
  • Page ดำรงตำแหน่ง CEO ของ Alphabet และยังคงมีส่วนร่วมในบริษัทในฐานะผู้ถือหุ้น
  • ปัจจุบัน Page เป็นนักลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต เช่น รถยนต์บินได้

Latest


อินเทอร์เน็ต คือหนึ่งในนวัตกรรมที่มนุษย์มองว่าเปลี่ยนโลกไปอย่างสิ้นเชิง จนต่อมาในปี 1989 เกิดอีกความก้าวหน้าใหม่ นั่นคือ World Wide Web ที่เข้ามาเปลี่ยนวิธีการใช้งานอินเทอร์เน็ตให้ง่ายขึ้น และสิ่งที่ตามมาคือ Search Engine โลกจึงก้าวเข้าสู่ยุคเว็บเสิร์ช ที่เครื่องมืออย่าง Yahoo! หรือ AltaVista เป็นที่นิยม

แต่แล้วก็มียักษ์ตัวใหม่ที่เข้ามาล้มยักษ์ตัวเก่า เมื่อ Google เปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการในปี 1998 ทั้งโลกอินเทอร์เน็ตก็สั่นสะเทือนทันที และปัจจุบันนี้ Google ก็ยังคงครองส่วนแบ่งตลาด Search Engine อยู่มากถึง 90%

ซึ่งหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Google และเป็นคนให้กำเนิดนวัตกรรมชิ้นนี้ออกมาเปลี่ยนโลกก็คือ Larry Page มหาเศรษฐีวัย 52 ปี ที่นับตั้งแต่สร้าง Google ขึ้นมาจนประสบความสำเร็จ และเข้าตลาด Nasdaq ในปี 2004 ผู้ร่วมก่อตั้งคนนี้ก็ร่ำรวยขึ้นมหาศาล และแม้ว่าปัจจุบัน Page เขาจะก้าวออกจากตำแหน่งบริหารใน Google แล้ว แต่ก็ยังคงถือหุ้นและรักษาความมั่งคั่งไว้ได้ที่กว่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับที่ 5 ของโลก (ตามการจัดอันดับของ Forbes)

ในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะขอพาไปย้อนทำความรู้จักว่า Larry Page คือใคร เติบโตมาแบบไหน ถึงได้มาลงมือสร้างนวัตกรรมเปลี่ยนโลก พร้อมกับขยายอาณาจักร Google จากการเป็นแค่เครื่องมือเสิร์ช ไปสู่ Alphabet ที่กำลังครอบครองระบบนิเวศด้านข้อมูลของทั้งโลก


วัยเด็กที่ไม่ธรรมดา

Lawrence Larry Page หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Larry Page เกิดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ปี 1973 ในรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา และนับตั้งแต่เกิดมาก็ได้รับอิทธิพลด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์มาตลอด เนื่องจากทั้งคุณพ่อและคุณแม่ต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้

คุณพ่อ Dr. Carl Victor Page เป็นศาสตราจารย์สอนในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ในมหาวิทยาลัย Michigan State University แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกเรื่อง AI อีกด้วย ส่วนคุณแม่ Gloria Page ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้เช่นกัน โดยเธอสอนการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์อยู่ที่ Lyman Briggs College

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Larry Page จะได้รับการบ่มเพาะด้านนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก โดยเขาเคยเล่าว่าบรรยากาศภายในบ้านตอนเด็กนั้น “เต็มไปด้วยนิตยสารคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี” และตั้งแต่อายุได้ 6 ขวบ Page ก็มีโอกาสได้ใช้งานคอมพิวเตอร์บุคคล (PC) รุ่นแรก ๆ ในบ้านของตัวเองแล้ว

นอกจากนี้ Larry Page ยังมีพี่ชาย คือ Carl Victor Page Jr. ที่คอยเป็นเพื่อนและเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากเป็นนักประดิษฐ์ด้วย โดยทั้งสองมักจะแกะ-รื้อสิ่งของต่าง ๆ ภายในบ้านเพื่อดูว่าข้างในมีกลไกการทำงานอย่างไร และก็ประกอบกลับเข้าไปตามเดิม ความอยากเป็นนักประดิษฐ์นี้ยังนำมาสู่ความฝันที่อยากจะมีบริษัทเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุได้เพียง 12 ปี

และนอกจากเรื่องเทคโนโลยีแล้ว Page ยังมีความสนใจในด้านดนตรี เรียนแซกโซโฟนมาตั้งแต่อายุยังน้อย และยังเคยเรียนแต่งเพลงอีกด้วย


วัยเรียนที่ไม่ธรรมดากว่า

เมื่อเติบโตมาท่ามกลางบรรยากาศของความรู้และเทคโนโลยีที่เต็มเปี่ยม ก็หนีไม่พ้นที่ชีวิตวัยเรียนของเขาจะมุ่งสู่โลกเทคโนโลยีและนวัตกรรม เริ่มต้นในช่วงวันเด็ก เขาเข้าเรียนที่แรกใน Okemos Montessori School ที่แห่งนี้ได้เปิดโลกของ Page ด้วยแนวทางการเรียนแบบให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าเองตามความสนใจ เน้นให้นักเรียนได้แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์โดยไม่แบ่งแยกการเรียนตามช่วงอายุ แต่เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนได้ทำโปรเจกต์ร่วมกัน เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กได้แบ่งปันความรู้และความคิดสร้างสรรค์กันเอง

รากฐานที่ดีย่อมนำมาสู่การต่อยอดในด้านการศึกษาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หลังจาก Larry Page เรียนจบระดับมัธยมปลายจาก East Lansing High School ในปี 1991 เขาก็ไปเข้าเรียนต่อในสาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ของ University of Michigan และที่นี่เองความสามารถด้านการประดิษฐ์และคิดค้นก็ได้นำมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม

โปรเจกต์สำคัญของ Page ที่นี่คือ การประดิษฐ์เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตที่ประกอบจากเลโก้เกือบทั้งเครื่อง และยังสามารถใช้งานได้จริง เป็นโปรเจกต์ที่เขาได้คิดค้นทั้งซอฟต์แวร์พร้อมกับออกแบบฮาร์ดแวร์ไปพร้อม ๆ กัน แถมยังสามารถออกแบบให้ทำงานร่วมกันได้อย่างดี

นอกจากนี้ ในช่วงการเรียนปริญญาตรีที่นี่ Page ยังได้เข้าร่วมทีมรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Car) ของมหาวิทยาลัย โดยเขาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนับสนุนด้านสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต่อมาเขายังได้ร่างข้อเสนอต่อมหาวิทยาลัย ให้แทนที่รถรางภายในมหาวิทยาลัย ไปใช้งานระบบขนส่งด่วนผ่านเครือข่ายรถไฟฟ้าโมโนเรลไร้คนขับสำหรับผู้โดยสารแต่ละคน

และหลังจากเรียนจบพร้อมกับเกียรตินิยม Larry Page ก็ได้เข้าศึกษาต่อใน Stanford University สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ตอนปี 1995 และที่นี่เองเขาได้พบกับ Sergey Brin นักศึกษาปริญญาเอกเช่นเดียวกับเขา โดย Brin ได้รับมอบหมายให้พานักศึกษาใหม่ทัวร์มหาวิทยาลัย ซึ่งก็รวมถึง Page ด้วย ในช่วงแรกมีเรื่องเล่ามาว่า ทั้งคู่เหมือนจะไม่ค่อยถูกชะตากัน คอยจะถกประเด็นทางวิชาการต่าง ๆ อยู่เสมอ จนต่อมาถึงจะพบว่า มีบางประเด็นที่ทั้งคู่สนใจร่วมกัน เลยเป็นที่มาให้ทั้งสองมาร่วมก่อตั้ง Google ด้วยกัน


ก่อนจะเป็น Google

ก่อนจะไปพูดถึงจุดกำเนิดของ Google ทั้งหมดเริ่มต้นในระหว่างการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ Page ที่ Stanford University โดยเขาได้เริ่มศึกษาคุณสมบัติทางคณิตศาสตร์ของเครือข่าย World Wide Web โดยมีอาจารย์อย่าง Terry Winograd นักวิทยาศาสตร์คนเก่งในสาขานี้คอยให้คำปรึกษา

ในช่วงนั้นอินเทอร์เน็ตยังคงเป็นเหมือนกับคลังเก็บเอกสารขนาดมหึมาที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและไร้ระเบียบแบบแผน ระบบค้นหาที่มีอยู่ อย่างเช่น AltaVista มักจะจัดอันดับผลการค้นหาโดยจะนับจำนวนครั้งที่คำค้นหาปรากฏบนหน้าเว็บเท่านั้น หรือถ้าให้เข้าใจง่าย ๆ คือ ยิ่งมีคำนั้น ๆ เยอะบนหน้าเว็บตัวเอง ก็จะยิ่งค้นหาเจอได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ยาวเหยียดที่มักไม่เกี่ยวข้องสิ่งที่ต้องการค้นหา และถูกหลอกได้ง่ายจากเจ้าของเว็บไซต์ที่ยัดคีย์เวิร์ดลงไปเพื่อปั่นอันดับให้เว็บตัวเองขึ้นมาอยู่บนสุด

แนวคิดของ Page คือการออกแบบให้การเสิร์ชในอินเทอร์เน็ตดูน่าเชื่อขึ้น โดยเขาไม่ได้มองว่าเว็บแต่ละหน้าเป็นข้อมูลแยก ๆ กัน แต่เปรียบมันเหมือน “งานวิจัย” ที่เชื่อมโยงกันด้วย “การอ้างอิง” ถ้าในวงการวิชาการ งานไหนถูกอ้างถึงบ่อย แปลว่างานนั้นสำคัญ Page ก็เลยคิดว่า ถ้าเว็บไหนถูกลิงก์ถึงบ่อย แปลว่าเว็บนั้นก็ควรจะมีน้ำหนัก หรือ “น่าเชื่อถือ” กว่าเว็บอื่น

แนวคิดนี้ยังได้ลบล้างเสิร์ชเอนจินที่เน้นไปที่เว็บพูดถึงตัวเองยังไง (เน้นคีย์เวิร์ด) โดยที่ระบบของ Page จะดูว่าเว็บอื่นพูดถึงเว็บนี้ยังไง (เน้นลิงก์อ้างอิง) เหมือนเปรียบเทียบระหว่างงานที่เจ้าของเขียนเองลงบล็อก กับงานที่ผ่าน Peer Review จากนักวิจัยคนอื่นมาแล้ว ซึ่งอย่างหลังย่อมเชื่อถือได้มากกว่า

ไม่นานหลังจากนั้น โปรเจกต์นี้ก็ถูกพัฒนาต่อไปโดยมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยถูกตั้งชื่อว่า “PageRank” มีที่มาจากนามสกุลของ Larry Page และเพจที่หมายถึงหน้าเว็บเพจบนโลกอินเทอร์เน็ต โดยสูตรคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่ได้ออกมาในโปรเจกต์นี้นั้น คือการให้คะแนนความน่าเชื่อถือของแต่ละเว็บ ตามจำนวนและคุณภาพของลิงก์ที่ชี้มาหามัน

กล่าวคือ ถ้ามีหลายเว็บลิงก์มาหาหน้าเว็บหนึ่ง เว็บนั้นจะได้คะแนนสูง แต่ถ้าเว็บที่ลิงก์มาหานั้นเองมีความสำคัญมาก คะแนนที่ส่งมาก็จะมีน้ำหนักมากกว่า หรือก็คือ PageRank จะคำนวณโอกาสที่คนทั่วไปคลิกลิงก์แบบสุ่มไปเรื่อย ๆ แล้วมาถึงเว็บนี้ ยิ่งมีเว็บดี ๆ ลิงก์มาหามาก ก็ยิ่งมีโอกาสสูง คะแนนก็ยิ่งมาก

ซึ่งหลังจากนำ PageRank มาทดลองใช้จริง ผลลัพธ์ออกมาชัดเจนว่าดีกว่าเสิร์ชเอนจินอื่นแบบคนละชั้น เพราะสามารถแสดงผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องและน่าเชื่อถือกว่ามาก กระทั่งปี 1998 ก็ได้ทำการจดสิทธิบัตร PageRank โดยสิทธิ์เป็นของ Stanford University ในตอนนั้น เนื่องจากเป็นการทำวิจัยตอนเรียนอยู่ที่นั่น


กำเนิด Google

ในปี 1998 ทั้ง Larry Page และ Sergey Brin ได้ก่อตั้ง "Google" อย่างเต็มตัว โดยมีออฟฟิศอยู่ในโรงรถของบ้านเพื่อนในเมืองเมนโลพาร์ค แคลิฟอร์เนีย ด้วยเงินทุนก่อตั้งที่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระดมทุนมาจากเพื่อน ครอบครัว และนักลงทุน Angel บางส่วน มี Page นั่งเป็นซีอีโอคนแรกของบริษัทในวัยเพียง 25 ปี

Google คือหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ผ่านยุคดอทคอมมาได้สำเร็จ โดยบริษัทได้ริเริ่มโมเดลหาเงินครั้งแรกในปี 2000 นั่นก็คือ การหาเงินผ่านโฆษณา แต่ความแตกต่างของ Google คือ จะไม่ใช้หน้าแรกแปะแบนเนอร์โฆษณาใด ๆ เลย แต่จะมีระบบ AdWords ขายโฆษณาผ่านข้อความ ตามคำค้นหา ไม่สร้างความน่ารำคาญให้กับคนที่มาท่องเว็บ แถมยังขายของได้ตรงกลุ่มตามที่คนค้นหาอีกด้วย

บริษัทมีสโลแกนคือ “Don't be evil” หรือ “อย่าร้าย” เนื่องจากในช่วงที่ Google เริ่มก่อตั้งมานั้น เครื่องมือเสิร์ชอื่น ๆ อย่างเช่น Yahoo! มักจะเบลอเส้นแบ่งระหว่างเนื้อหาออร์แกนิกกับเนื้อหาที่เป็นโฆษณา ทำให้ผู้อ่านไม่มั่นใจว่าเนื้อหานั้นจริง หรือถูกซื้อมากันแน่

สโลแกนนี้เป็นเหมือนการประกาศต่อสาธารณะอย่างชัดเจนว่า Google จะซื่อสัตย์กับผู้ใช้ก่อนสิ่งอื่นใด ๆ และยิ่งมารวมกับเทคนิคของระบบ PageRank ยิ่งทำให้ Google มีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นไปอีก จนมีฐานผู้ใช้ที่ภักดีมหาศาล ซึ่งกลายเป็นกำแพงป้องกันคู่แข่งที่บริษัทอื่นไม่สามารถลอกเลียนได้

กระทั่งปี 2004 ทาง Page และ Brin ก็ได้นำ Google เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก สามารถระดมทุนไปเพิ่มได้ 1,670 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บริษัทมีมูลค่าอยู่ที่ 23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ผู้ก่อตั้งทั้ง 2 คนขึ้นแท่นมหาเศรษฐีเต็มตัวในวัยเพียง 27 ปี


ขยายธุรกิจให้เป็นมากกว่า “เครื่องมือเสิร์ช”

เมื่อ Google เติบโตขึ้น กลยุทธ์การขยายธุรกิจของบริษัทก็พัฒนาไปไกลกว่าการเป็นแค่เสิร์ชเอนจิน ภายใต้การนำของ Page ทั้งในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง President of Products (ระหว่าง 2001-2011) และในช่วงที่กลับมานั่งเก้าอี้ซีอีโอครั้งที่สอง บริษัทได้เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างดุดัน ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใน และการเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์ภายนอก

โดย Page เรียกกลยุทธ์นี้ว่า “Toothbrush Test” ตั้งคำถามก่อนว่า “สินค้าหรือบริการนี้เป็นสิ่งที่คนจะใช้วันละหนึ่งหรือสองครั้งไหม? และมันช่วยทำให้ชีวิตดีขึ้นอย่างแท้จริงหรือเปล่า?” จนกลายเป็นเข็มทิศที่พา Google ไปเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน และกลายเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรของผู้ใช้หลายพันล้านคนทั่วโลก

และนอกจากกลยุทธ์นี้ Page ยังเปิดโอกาสให้พนักงานได้ใช้เวลา 20% ของการทำงานไปกับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่ตัวเองอยากทำ หรือที่เรียกว่านโยบาย “20% Time” และนี่ก็เป็นที่มาให้เราได้รู้จักกับผลิตภัณฑ์อย่าง Gmail และ Google Maps ซึ่งต่อมาได้ต่อยอดมาสู่การเข้าซื้อกิจการอื่น ๆ ที่ Google มองว่าจะมีประโยชน์ต่อระบบนิเวศของตัวเอง

ตัวอย่างการเข้าซื้อกิจการสำคัญของ Google

  • Android Inc. ในปี 2005 นับเป็นการเข้าซื้อกิจการที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Google เพียงราคาประมาณ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ Google ก็ได้ครอบครองระบบปฏิบัติการมือถือที่ต่อมากลายเป็นหัวใจของโลกดิจิทัล

    ในเวลานั้น อินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนผ่านจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะสู่มือถือ Page กับทีมผู้บริหารมองเห็นว่า หาก Apple ที่มี iOS หรือ Microsoft ที่มี Windows Mobile สามารถควบคุมแพลตฟอร์มไว้ทั้งหมด Google ก็จะถูกลดบทบาทเหลือแค่แอปฯ ในระบบของคนอื่น

    ดังนั้น การซื้อ Android และพัฒนาให้เป็นระบบโอเพ่นซอร์ส จึงกลายความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดของ Google เพราะสิ่งนี้ทำให้บริการหลักของ Google ทั้ง Search, Maps, และโฆษณากลายเป็นค่าเริ่มต้นบนสมาร์ตโฟนส่วนใหญ่ทั่วโลก และรับประกันได้ว่า Google จะยังคงอยู่เป็นศูนย์กลางของยุคเทคโนโลยีถัด ๆ ไป


  • YouTube ในปี 2006 ดีลมูลค่า 1,650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่หลายคนมองว่าเสี่ยง แต่กลับกลายเป็นการตัดสินใจพลิกโลก เพราะ Google มองเห็นก่อนใครว่าวิดีโอออนไลน์กำลังจะกลายเป็นรูปแบบสื่อหลักของอนาคต

    ดังนั้น การได้ครอบครอง YouTube เท่ากับการได้เป็นเสิร์ชเอนจินสำหรับวิดีโอ และยังป้องกันไม่ให้คู่แข่งสร้างจักรวาลสื่อแข่งขึ้นมา แถมยังได้ทั้งข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้และ รายได้จากโฆษณาบนวิดีโออีกมหาศาล


  • Keyhole, Inc. ในปี 2004 บริษัทด้านเทคโนโลยีภาพจำลองเชิงภูมิศาสตร์ ซึ่งภายหลังกลายเป็นรากฐานของ Google Earth ซึ่งการซื้อกิจการนี้เป็นสัญญาณชัดเจนว่า Google ตั้งเป้าจะก้าวข้ามจากการจัดระเบียบข้อมูลบนเว็บไปสู่ “การจัดระเบียบข้อมูลของโลกจริง”


การเข้าซื้อกิจการเหล่านี้ไม่ได้เป็นการขยายธุรกิจแบบสุ่ม แต่คือแผนที่จะประสานทั้งเชิงรุกและเชิงรับเพื่อให้ Google ควบคุมระบบนิเวศของข้อมูลทั้งหมดบนโลกนี้ไว้ เพราะ Page เข้าใจดีว่า วันหนึ่ง “Search” อาจกลายเป็นแค่ฟีเจอร์ย่อยบนแพลตฟอร์มของคนอื่น ดังนั้น เขาจึงเลือกครอบครองแพลตฟอร์ม อย่าง Android และ YouTube ด้วยตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ใดหรือสื่อรูปแบบไหน Google จะยังคงอยู่ตรงกลางของชีวิตดิจิทัลของผู้คน


ยุคของ Alphabet

วันที่ 10 สิงหาคม ปี 2015 เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Google เมื่อ Larry Page ประกาศปรับโครงสร้างองค์กร ย้าย Google Inc. และบริษัทอื่น ๆ ไปเป็นบริษัทย่อยภายใต้องค์กรใหญ่ในชื่อ “Alphabet” โดย Page ได้เปลี่ยนตำแหน่งไปเป็นซีอีโอของ Alphabet ในขณะที่ Sergey Brin นั่งในตำแหน่งประธาน และก็มี Sundar Pichai หนึ่งในผู้บริหารที่อยู่กับ Google มาอย่างยาวนานก้าวขึ้นมาเป็นซีอีโอของ Google

เบื้องหลังของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ Page ได้อธิบายในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นว่า “ต้องการทำให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และเพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปได้ง่ายขึ้น” เนื่องจากบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้น การที่จะให้ส่วน ๆ เดียวดูแลทั้งหมดจึงทำได้ยากขึ้น เขามองว่าถ้ายังยื้อไว้ และขยับปรับเปลี่ยนไปทีละน้อย จะกลายเป็นกับดักของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ เองที่จะสูญเสียความสามารถในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ

ภายใต้โครงสร้างใหม่ Alphabet กลายเป็น “กลุ่มบริษัท” โดยธุรกิจอินเทอร์เน็ตที่ทำกำไรได้และมีความมั่นคง อย่างเช่น Search, Ads, YouTube, Android, และ Maps ยังคงอยู่ภายใต้บริษัทลูก Google

ส่วนธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงและเน้นผลระยะยาว จะถูกแยกออกเป็นบริษัทอิสระภายใต้ร่ม Alphabet รวมเรียกว่า “Other Bets” ธุรกิจในกลุ่มนี้ประกอบด้วย Calico (บริษัทวิจัยด้าน Longevity), Verily (เดิมชื่อ Google Life Sciences ทำวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ), Waymo (รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ), Wing (บริษัทเทคโนโลยีการส่งของด้วยโดรน) และ X (ห้องทดลองนวัตกรรมขั้นสูง)

Page และ Brin ประกาศก้าวลงจากตำแหน่งบริหารใน Alphabet พร้อมกันทั้งคู่ในปี 2019 พร้อมกับแต่งตั้ง Sundar Pichai ขึ้นมานั่งในตำแหน่งซีอีโอของ Alphabet ควบกับบริษัทลูก Google แทน แต่ยังคงมีชื่ออยู่ในบอร์ดของบริษัท แม้ว่าจะไม่ได้เข้าบริษัทเลยก็ตาม

ปัจจุบัน Page ผันตัวไปเป็นนักลงทุน เข้าลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ที่เขามองว่าเป็นอนาคตของโลกและมาจากความสนใจส่วนตัวของเขา โดยเฉพาะในกลุ่ม Auto Tech และ High Tech เขาทุ่มเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ ในสตาร์ทอัพอย่าง Zee.Aero และ Kitty Hawk ที่พัฒนารถยนต์บินได้ เพราะเขาสนใจในเทคโนโลยีนี้เป็นพิเศษ และไม่ค่อยออกมาเปิดตัวในสาธารณะแต่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นส่วนตัวมากกว่า



ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney



Author

Thanthida Thongphet

Thanthida Thongphet
Digital Economy & Future of Finance