รู้จัก Alex Karp จากนักปรัชญาสู่มหาเศรษฐีพันล้าน ทำมาหากินกับข้อมูลลับของรัฐบาลสหรัฐฯ

Personal Finance

Wealth Management

Tag

รู้จัก Alex Karp จากนักปรัชญาสู่มหาเศรษฐีพันล้าน ทำมาหากินกับข้อมูลลับของรัฐบาลสหรัฐฯ

Date Time: 17 ส.ค. 2568 08:00 น.

Video

เก็บเงินก็ยาก ลงทุนก็เสี่ยง คนไทยรอดจากความจนยาก? กับ ดร.บุรินทร์ อดุลวัฒนะ | Thairath Money Night Stand EP.17

Summary

Alex Karp ซีอีโอ Palantir ผู้ประสบความสำเร็จ แม้ไม่มีพื้นฐานด้านเทคโนโลยี

  • Palantir เติบโตจากการเป็นสตาร์ทอัพสู่บริษัทเทคโนโลยีระดับโลก มูลค่า 4 แสนล้านดอลลาร์
  • Karp มีแนวคิด 'Karp Doctrine' เน้นสนับสนุนรัฐบาลและกองทัพสหรัฐฯ เพื่อปกป้องค่านิยมตะวันตก
  • Palantir เน้นให้บริการซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลแก่รัฐบาลและภาคธุรกิจ
  • บริษัทมีรายได้หลักจากการทำธุรกิจกับรัฐบาลสหรัฐฯ และต่างประเทศ

Latest


ถ้าพูดถึงเหล่าซีอีโอในซิลิคอนวัลเลย์ เรามักจะนึกถึงคนเก่งสายเทคโนโลยีที่เติบโตมากับการเขียนโค้ด ออกแบบโปรแกรม ไม่ก็ต้องเก่งฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์ แต่ยังมีอีกหนึ่งคนที่เรียกได้ว่าเป็นซีอีโอที่ประสบความสำเร็จ พาธุรกิจโตจนมูลค่าทะลุ 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้จะไม่ได้ร่ำเรียนและเติบโตมากับเทคโนโลยี

เรากำลังพูดถึง Alex Karp ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Palantir Technologies บริษัทซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูล ที่ปัจจุบันกำลังร้อนแรงในตลาด AI ภายใต้การนำของ Karp บริษัท Palantir สามารถไต่เต้าเติบโตมาจากการเป็นสตาร์ทอัพ สู่หนึ่งในบริษัทเทคที่ยิ่งใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและระดับโลก

หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange หรือ NYSE) เมื่อปี 2020 หุ้นของ Palantir เติบโตขึ้นกว่า 1,700% จน ณ ตอนนี้มีมูลค่าตามตลาดอยู่ที่ 429,440 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ติดอันดับที่ 22 ของบริษัทใหญ่ระดับโลก

Alex Karp ก็คือหนึ่งในผู้ที่ได้รับอานิสงส์จากความรุ่งโรจน์ของ Palantir จนถึงขั้นขึ้นแท่นเป็นซีอีโอบริษัทเอกชนที่ได้รับค่าตอบแทนสูงที่สุดในโลกเมื่อปี 2020 และปัจจุบัน Karp มีความมั่งคั่งสุทธิอยู่ที่ 15,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการถือหุ้น PLTR

ความแตกต่างของ Karp คือเส้นทางชีวิตที่เขาแทบจะไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีเลย แต่มาจากครอบครัวที่สนับสนุนด้านสิทธิพลเมืองและความยุติธรรม และยังเลือกเดินในเส้นทางสายปรัชญาก่อนจะมาบริหารบริษัทเทค จนบางครั้งถึงขั้นเรียกเขาว่าเป็น “Outsider” หรือคนนอกแห่งซิลิคอนวัลเลย์เลยทีเดียว

ในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปเจาะลึกเพื่อทำความรู้จักเศรษฐีสายแปลก “ผู้แตกต่าง” ที่เข้ามาสู่วงการนวัตกรรมจนประสบความสำเร็จได้ถึงเพียงนี้ ไปทำความเข้าใจเส้นทางชีวิต แนวคิดธุรกิจ และการสร้างความมั่งคั่งของ Alex Karp ชายผู้รักตัวเอง รักชาติ และรักธุรกิจ


เศรษฐีเทค ที่ไม่ได้โตมากับเทค

ย้อนไปในช่วงวัยเด็กของ Alex Karp เขาเกิดในปี 1967 ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา แต่ไปเติบโตที่ฟิลาเดลเฟีย Karp มีคุณพ่อเป็นชาวยิว ทำงานเป็นกุมารแพทย์ ส่วนคุณแม่เป็นศิลปินเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน เคยมีครั้งหนึ่งที่ Alex Karp นิยามไว้ว่าพ่อแม่ของเขาเป็น “ฮิปปี้” และมักจะพาเขาออกไปร่วมในการประท้วงต่าง ๆ เสมอ ครอบครัวนี้อินสุดกับการเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมืองและความยุติธรรมทางสังคม ทำให้ Karp โตมากับความสนใจเรื่องการเมือง และโครงสร้างอำนาจ

วัยเด็กของ Alex Karp ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเรียนรู้ เนื่องจากมีภาวะดิสเล็กเซีย (Dyslexia) อ่านเขียนลำบากกว่าคนอื่น ทำให้ต้องพัฒนาวิธีคิดแบบนอกตำราตั้งแต่เด็ก จนจบการศึกษาที่ Central High School ในปี 1985 เขาก็เลือกเดินในเส้นทางการศึกษาที่ไม่เหมือนว่าที่ซีอีโอสายเทคเลย

ในระดับปริญญา Karp จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาปรัชญา จาก Haverford College เมื่อปี 1989 เป็นสถาบันที่ขึ้นชื่อด้านศิลปศาสตร์ที่เน้นคิดลึก คิดวิพากษ์ ต่อมาก็ไปเรียนต่อด้านกฎหมายที่ Stanford University และที่นี่เองเขาก็ได้พบกับ Peter Thiel ผู้ก่อตั้ง PayPal และนักลงทุนคนดังของซิลิคอนวัลเลย์

ดูเหมือนเส้นทางของ Alex Karp จะไม่เห็นวี่แววว่าจะมาเป็นผู้บริหารบริษัทเทคเท่าไหร่ เพราะต่อมา Karp เดินทางไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ Goethe University ในแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ทำให้เขาเชี่ยวชาญภาษาเยอรมันด้วย โดยสาขาที่เลือกเรียนคือ ปรัชญายุโรป และคว้าปริญญาด้านทฤษฎีสังคมนีโอคลาสสิก และทำวิทยานิพนธ์เจาะความสัมพันธ์ระหว่างภาษา วัฒนธรรม และความก้าวร้าว มีแรงบันดาลใจมาจากนักคิด Jürgen Habermas ซึ่งภายหลังกลายเป็นดีเอ็นเอในสไตล์การบริหารธุรกิจของเขาเอง

ก่อนที่จะมาก่อตั้ง Palantir หลังจากเรียนจบปริญญาเอกตอนปี 2002 ทาง Alex Karp ก็โชคดีได้รับมรดกจากคุณปู่มาหนึ่งก้อน ในระหว่างที่ทำงานให้กับ Sigmund Freud Institute เลยตัดสินใจแบ่งเงินไปลงทุนในหุ้นและสตาร์ตอัพ และก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งจนได้มาก่อตั้ง Caedmon Group บริษัทจัดการสินทรัพย์ในลอนดอนเป็นของตัวเอง ทำหน้าที่ดูแลพอร์ตให้กับเศรษฐีระดับบน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มของความมั่งคั่งที่เพิ่มมากขึ้น

Karp เคยให้สัมภาษณ์กับ The New York Times ว่า ในวัยเด็กที่บ้านของเขามีฐานะจนมาก จนเป็นเหตุให้เขาขับรถไม่เป็น และแม้ว่าปัจจุบันเขาจะเป็นมหาเศรษฐีแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถขับรถได้ โดยเขาบอกว่าตอนนี้ “รวยมากพอ” ที่จะไม่ต้องขับเองแล้ว


มาเป็น Palantir ได้ยังไง?

จากความเชี่ยวชาญของ Alex Karp ทั้งในด้านปรัชญา กฎหมาย ไปจนถึงเรื่องการเงิน เลยกลายเป็นสูตรตั้งต้นที่นำไปสู่การร่วมก่อตั้ง Palantir ในปี 2003 โดยมี Peter Thiel, Joe Lonsdale, Nathan Gettings และ Stephen Cohen ที่ปิ๊งไอเดีย หลังจากขาย PayPal ออกไปให้ eBay ก็อยากจะเอาระบบตรวจจับโกงของ PayPal ไปใช้กับหน่วยข่าวกรอง แต่ต้องการซีอีโอที่สามารถเดินได้ทั้งเกมการเมืองและจริยธรรม หวยเลยมาออกที่ Karp ที่ตอบโจทย์เป๊ะในทุก ๆ ด้าน

ในช่วงเริ่มต้น ปี 2004 สตาร์ทอัพในชื่อ Palantir ก่อตั้งจากเงินทุนของ Peter Thiel เองมูลค่ากว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแก้ปัญหาหลัก ๆ ในโลกธุรกิจหรือในกิจการใหญ่ ๆ คือ เรื่องข้อมูลมหาศาลที่กระจัดกระจาย (Data Silos) อยู่ในระบบเก่า คนละที่ คนละรูปแบบ ข้อมูลแยกไปตามแผนก หรือฝ่ายต่าง ๆ ทำให้ยากที่จะจัดการให้ข้อมูลทั้งหมดมาอยู่ในภาพเดียวกัน เพื่อที่จะช่วยใช้ตัดสินใจในธุรกิจได้

Palantir ไม่ได้เก็บข้อมูลเอง ไม่ได้เป็นเจ้าของข้อมูล และไม่ขายข้อมูลให้ลูกค้า สิ่งที่บริษัทขายคือ ซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มขั้นสูงที่ทำหน้าที่เหมือนระบบปฏิบัติการ (Operating System) วางครอบบนโครงสร้าง IT ที่ลูกค้ามีอยู่ (ซึ่งมักจะซับซ้อนและยุ่งเหยิง) เพื่อให้ลูกค้าสามารถรวม จัดการ รักษาความปลอดภัย และวิเคราะห์ข้อมูลของตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องลงทุนรื้อระบบใหม่ทั้งองค์กร

โดย Palantir มีเป้าหมายสูงสุดคือ การส่งมอบเครื่องมือให้มนุษย์ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้ด้วยตัวเอง โดยมี AI และเครื่องมืออัจฉริยะเป็นผู้ช่วย (Human-Driven and Machine-Assisted Analysis) เพื่อให้แก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้จริง



แพลตฟอร์มแรกของ Palantir คือ Gotham เกิดขึ้นจากความต้องการหลังเหตุการณ์ 9/11 เพื่อช่วยหน่วยข่าวกรองเชื่อมโยงข้อมูลที่อยู่กระจัดกระจายในหลายแหล่งให้ทันเวลา ใช้วิเคราะห์และคาดการณ์การเคลื่อนไหวของศัตรู และป้องกันภัยก่อการร้าย จึงตอบโจทย์กับรัฐบาล กลาโหม หน่วยข่าวกรอง และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย จนกลายเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่ In-Q-Tel กองทุนของ CIA เข้าไปร่วมลงทุนอยู่หลายครั้ง

และหลังจากที่สามารถปักหลักในตลาดรัฐบาลได้แล้ว Palantir ก็ขยายตลาดต่อ นำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับโลกธุรกิจผ่านแพลตฟอร์ม Foundry เป็นแพลตฟอร์ม Data Operations ที่จะเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่งขององค์กร และยังทำหน้าที่สร้างดิจิทัลทวิน เชื่อมข้อมูลเข้ากับวัตถุ โรงงาน ระบบบริหารจัดการต่าง ๆ ตลอดจนลูกค้า เพื่อให้โลกข้อมูลและโลกจริงทำงานไปด้วยกัน และใช้ช่วยในการตัดสินใจหรือวิเคราะห์ต่อได้อีกด้วย ซึ่งแพลตฟอร์มนี้มีกลุ่มลูกค้าเป็นภาคเอกชนในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การผลิต การเงิน พลังงาน และสาธารณสุข ตัวอย่างลูกค้าคือ Airbus, Ferrari และ Merck เป็นต้น

นอกจากนี้ Palantir ยังมีแพลตฟอร์มเบื้องหลัง อย่าง Apollo และ AIP (Artificial Intelligence Platform) ที่จะฝังอยู่ทั้งใน Gotham และ Foundry โดย Apollo จะเป็นศูนย์ควบคุม คอยอัปเดตซอฟต์แวร์แบบอัตโนมัติเพื่อให้ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ส่วน AIP ก็คือ AI ที่จะฝังตัวไว้เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้ AI และโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) กับข้อมูลส่วนตัวในเครือข่ายปิดของตัวเองได้อย่างปลอดภัย

โดยส่วนใหญ่แล้วรายได้ของ Palantir เติบโตมาจากการทำธุรกิจกับฝั่งรัฐบาล ซึ่งไม่ได้มีแค่รัฐบาลสหรัฐเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงรัฐบาลหรือภาคการทหารของประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ในไตรมาสล่าสุด (Q2/2025) สัดส่วนรายได้อยู่ที่ 55% จากรัฐบาล และ 45% จากภาคธุรกิจ โดยมีรายได้จากรัฐบาลสหรัฐอยู่ที่ 732.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่รายได้จากรัฐบาลประเทศอื่น ๆ รวมกันอยู่ที่ 271.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ



ทั้งนี้ รายจ่ายทางธุรกิจของ Palantir ส่วนใหญ่จะใช้ไปใน 3 ส่วน คือ การวิจัยและพัฒนา (R&D) การขายและการตลาด (Sales and Marketing) และค่าใช้จ่ายทั่วไปในการบริหาร (General and Administrative) ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา บริษัทก็ถูกวิจารณ์ไม่น้อย เพราะดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่องยาวนาน นับตั้งแต่ DPO (Direct Public Offering) หรือเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2020

แต่แล้วก็สามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้ต่อเนื่อง โดยในปี 2024 ก็สามารถทำกำไรได้ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 6 จนติดโผเข้าร่วมในกลุ่มดัชนี S&P 500 ทำให้ฐานนักลงทุนของ Palantir กว้างขึ้นทันตา และยกระดับภาพลักษณ์สู่การเป็นบริษัทมหาชนเต็มตัวอย่างแท้จริง

ไม่เพียงเท่านั้น งบดุลของ Palantir ยังแข็งแรงสุด ๆ ด้วยสินทรัพย์หมุนเวียนกว่า 4,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไม่มีหนี้ระยะยาวเลย (ณ ไตรมาส 1 ปี 2024) ซึ่งหมายความว่าบริษัทมีเงินในมือมากพอ พร้อมเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ได้อย่างยืดหยุ่นในทุกสถานการณ์นั่นเอง


แตกต่างแบบ Alex Karp

การที่ Alex Karp ก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้านนั้นไม่ใช่แค่ความโชคดีจากที่คุณปู่มอบมรดกให้และเอามาต่อยอดได้เพียงอย่างเดียว แต่การเข้ามาบริหาร Palantir ในแบบที่แปลกและแหวกแนวก็มีส่วนที่ทำให้เขาติดอันดับซีอีโอที่น่าจับตาในธุรกิจเทคอีกด้วย

ตามที่กล่าวไปเล็กน้อยข้างต้นว่า Palantir เข้าตลาดด้วยวิธีการ DPO หรือการลิสต์หุ้นตรง วิธีนี้ต่างจาก IPO ตรงที่บริษัทจะไม่ออกหุ้นใหม่ ไม่เพิ่มทุน แต่จะปล่อยให้ผู้ถือหุ้นเดิมนำหุ้นที่มีอยู่ไปขายในตลาดได้เลย ทำให้ Palantir ประหยัดค่าธรรมเนียมวาณิชธนกิจไปหลายร้อยล้าน และที่เด็ดที่สุดคือ ไม่มีเงื่อนไข Lock-up 180 วัน ผู้ถือหุ้นวงในสามารถขายหุ้นได้ทันที

จริง ๆ แล้ว Alex Karp ค่อนข้างจะจริงจังกับเรื่องการเข้าตลาดอย่างมาก โดยเขามองว่า “จะไม่มีใครเข้ามาบริหารบริษัทของเราได้เหมือนที่เราบริหารอยู่” เลยไม่คิดที่จะ IPO และไม่ต้องการรับแรงกดดันจากการเป็นบริษัทมหาชนอีกด้วย

แต่ท้ายที่สุดแล้ว บริษัทก็ได้เข้า DPO พร้อมกับเดินหน้าต่อตามกติกาของตัวเอง ซึ่งในวันนั้น Palantir ถูกประเมินว่ามีมูลค่ากว่า 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และก็เป็นวันเดียวกับที่ความมั่งคั่งของ Karp กระโดดขึ้นถึงหลักพันล้านและถูกจารึกอย่างเป็นทางการ

เบื้องหลังกลยุทธ์องค์กรของ Palantir มีทั้งอุดมการณ์ที่ชัดเจนและเป็นระบบ ขับเคลื่อนโดยซีอีโอ Alex Karp ผ่านการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและแนวคิดชาตินิยมเข้าไว้ด้วยกัน อาจจะฟังดูเหมือนจีน แต่นี่คือแนวทางของ Alex Karp จนมีการตั้งว่าแนวคิดนี้คือ “Karp Doctrine” หรือแนวคิดของ Karp นั่นเอง

หัวใจของ Karp Doctrine คือแนวคิดที่ว่าประชาธิปไตยเสรีแบบตะวันตก คือรูปแบบการอยู่ร่วมกันที่เหนือกว่าที่อื่น ๆ และบริษัทเทคโนโลยีในโลกตะวันตกมีหน้าที่ในเชิงศีลธรรมด้วย ในการสนับสนุนรัฐบาล โดยเฉพาะกองทัพสหรัฐฯ เพื่อปกป้องและส่งออกคุณค่านี้ไปทั่วโลก

Karp มองว่า อำนาจการเป็นผู้นำของตะวันตกในประวัติศาสตร์นั้นถูกสร้างมาจากการใช้อำนาจความรุนแรงอย่างเป็นระบบ และในศตวรรษที่ 21 นี้เทคโนโลยีขั้นสูงโดยเฉพาะ AI คือร่างใหม่ของพลังนั้น ดังนั้น Palantir จึงถูกวางให้เป็นผู้เล่นสำคัญในการแข่งวิ่งมาราธอนทางเทคโนโลยี เพื่อให้สหรัฐฯ และพันธมิตรชนะจีนกับรัสเซีย ก่อนที่ฝั่งนั้นจะใช้ AI ทำลายเสรีภาพของโลกประชาธิปไตย

จากหนังสือ “The Technological Republic” ที่ Karp เขียนขึ้นมาเอง เปรียบเสมือนกับแถลงการณ์ในแนวคิดนี้ มีการอธิบายถึงอำนาจโลกยุคใหม่ที่จะไม่ได้ถูกนิยามแค่ด้วยกำลังทหาร แต่จะเป็นความสามารถในการครอบครอง AI ความมั่นคงทางไซเบอร์ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล พร้อมเตือนว่าตะวันตกกำลังเสี่ยงที่จะเสียความเป็นผู้นำเพราะระบบราชการเชื่องช้า การประสานงานรัฐ-เอกชนที่อ่อนแอ และความเปราะบางทางปัญญาที่ไม่กล้าเผชิญหน้าทางอุดมการณ์

ตลอดที่ผ่านมา Karp ออกมาวิจารณ์พร้อมตำหนิเพื่อนร่วมอุตสาหกรรมในซิลิคอนวัลเลย์เสมอว่า ได้ละทิ้งแนวทางที่จะเปลี่ยนโลก ไปทุ่มสมองให้กับการพัฒนาแอปฯ หรืออัลกอริทึมเพื่อการตลาดเสียมากกว่า แถมยังเคยพูดถึงว่า บริษัทยักษ์ใหญ่นั้นมีจริยธรรมจอมปลอม ที่ชูค่านิยมเสรีก้าวหน้า แต่กลับกอบโกยกำไรจากการใช้ข้อมูลผู้คนอย่างมหาศาล

ด้วยเหตุนี้ Palantir จึงตั้งตัวเองให้เป็น “ตัวต้านกระแส” ดึงดูดวิศวกรและคนทำงานที่มีแรงผลักดันร่วมอุดมการณ์แบบที่จะหนุนตะวันตกและหนุนกองทัพเข้ามาทำงานด้วย

แต่ท้ายที่สุดแล้ว Karp Doctrine คือการสร้างกลยุทธ์ผ่านเรื่องเล่า ผ่านมุมมองของอุดมการณ์ จนสามารถยกระดับงานที่ถูกมองว่าเป็นการค้าอาวุธและงานสอดส่องเพื่อรัฐบาล ให้กลายเป็นพันธกิจเชิงศีลธรรมและความรักชาติ ปั้นภาพให้ Palantir ไม่ใช่แค่ผู้รับเหมาของรัฐ แต่คือคลังแสงสำคัญของโลกตะวันตก ในสงครามอารยธรรมยุคดิจิทัล



ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney  



Author

Thanthida Thongphet

Thanthida Thongphet
Digital Economy & Future of Finance