
CZ ผู้ก่อตั้ง Binance สร้างความมั่งคั่งจากธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
ทุกวันนี้อุตสาหกรรมหนึ่งที่กำลังถูกจับตามองและกำลังก้าวหน้าคงหนีไม่พ้นโลกคริปโตเคอร์เรนซีที่เริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น มีหลากหลายประเทศมีกฎหมายรองรับเป็นสกุลเงินดิจิทัลทางเลือกมากขึ้น จนเรียกได้ว่าเป็นตัวปฏิวัติโลกการเงินแห่งอนาคตเลยก็ว่าได้
ทั้งนี้มีหนึ่งในบุคคลที่ในอดีตเคยเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกคริปโตฯ สร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองจากธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล นั่นคือ Changpeng Zhao (ฉางเผิง จ้าว) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า CZ ผู้ก่อตั้งและอดีตซีอีโอ Binance แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก และปัจจุบันก็ยังคงเป็นบุคคลที่มั่งคั่งที่สุดในโลกคริปโตฯ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า Binance คือหนึ่งในแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนโลกคริปโตฯ ให้กลายเป็นตลาดที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ใช่เพียงกลุ่มคนเทคหรือนักลงทุนกระเป๋าหนักเท่านั้น แต่รวมถึงคนธรรมดาหลายร้อยล้านคนทั่วโลก
จากแพลตฟอร์มที่เคยถูกมองว่าลึกลับ Binance ได้กลายเป็นสถานีหลักของการซื้อขายคริปโตฯ ระดับโลก แต่ขณะเดียวกัน CZ ผู้ก่อตั้งกลับต้องเผชิญกับปัญหาหลายอย่าง ส่งผลให้ต้องเป็นผู้ลี้ภัย ผู้ต้องหา และเป็นนักโทษที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ ว่าด้วยการละเมิดกฎหมายการเงินของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา
เรื่องราวของ CZ ไม่ใช่แค่ชีวประวัติของมหาเศรษฐี แต่คือภาพสะท้อนของทั้งวงการคริปโตฯ และในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะขอพาไปเล่าถึงที่มาที่ไปของบุคคลในวงการคริปโตฯ บ้าง พร้อมกับเล่าเรื่องของ CZ ทั้งในแง่ของชีวิตส่วนตัว ความเป็นอัจฉริยะที่ออกแบบกลยุทธ์ การขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ และการล่มสลายเพราะแนวคิดที่ท้าทายกฎหมายโลก
CZ เกิดในปี 1977 ที่เมืองเหลียนอวิ๋นก่าง ในมณฑลเจียงซู ประเทศจีน เป็นช่วงเดียวกับที่จีนกำลังทำการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (Cultural Revolution) ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางสังคมและการเมืองครั้งใหญ่ จึงเกิดการต่อต้านปัญญาชนฝ่ายนายทุน ซึ่งพ่อและแม่ของ CZ เองก็มีอาชีพเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยและเป็นคุณครู ส่งผลให้ครอบครัวถูกเนรเทศออกจากเมือง ไปใช้ชีวิตในชนบทเป็นการชั่วคราว
จนในปี 1989 พ่อของ CZ สอบได้ทุนปริญญาเอกและได้ไปเรียนต่อในประเทศแคนาดา และเป็นช่วงระยะเวลาไม่นานที่เกิดเหตุการณ์นองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ทำให้ทั้งครอบครัวของ CZ ต้องอพยพตามพ่อมาอยู่ที่แวนคูเวอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงความกดดันและไม่แน่นอนทางการเมือง
หลังจากย้ายมาอยู่แคนาดา ชีวิตของ CZ ก็ไม่ง่ายอีกต่อไป เพราะเพียงเงินเดือนของพ่อไม่สามารถใช้จ่ายเพียงพอ เขาจึงต้องหางานทำหลายอย่าง ตั้งแต่เป็นพนักงานร้านแมคโดนัลด์ตอนอายุ 14 จนถึงเป็นเด็กปั๊มน้ำมัน
จุดเปลี่ยนของเด็กชาย CZ เกิดขึ้นตอนที่คุณพ่อที่เป็นนักคณิตศาสตร์และโปรแกรมเมอร์ยอมทุ่มเงิน 14,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซื้อคอมพิวเตอร์รุ่น 286 DOS ทำให้ CZ กลายเป็นเด็กที่หลงใหลและคลั่งไคล้ในการเขียนโปรแกรม จนต่อมาได้เลือกเข้าเรียนด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ ที่ McGill University ในเมืองมอนทรีออล แคนาดา
หลังเรียนจบ CZ ที่เรียนด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์มา กลับไม่ได้เริ่มต้นจากโลกสตาร์ทอัพเหมือนคนรุ่นใหม่ทั่วไป แต่เลือกเข้าสู่โลกการเงินดั้งเดิม (Traditional Finance หรือ TradFi) ด้วยการเข้าฝึกงานพัฒนาโปรแกรมจับคู่คำสั่งซื้อขายให้กับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว จากนั้นก็ย้ายไปนิวยอร์กเพื่อทำงานกับ Bloomberg Tradebook เป็นเวลา 4 ปี ในตำแหน่งวิศวกรที่พัฒนาระบบซื้อขายล่วงหน้า (Futures Trading)
จนในปี 2005 ทาง CZ ได้ตัดสินใจย้ายกลับมาเซี่ยงไฮ้ เพื่อเปิดบริษัทของตัวเองชื่อว่า Fusion Systems ที่เชี่ยวชาญในการสร้างระบบเทรดอัตโนมัติความเร็วสูง (High-Frequency Trading) สำหรับโบรกเกอร์ และยังเป็นพาร์ตเนอร์กับแบรนด์ใหญ่อย่าง Credit Suisse และ Goldman Sachs
เป็นระยะเวลากว่า 10 ปีที่ CZ ทำงานสร้างระบบให้กับตลาดหุ้นทั่วโลก จนทำให้เข้าใจกลไกตลาดอย่างลึกซึ้ง จนในปี 2013 ก็ได้มีสิ่งหนึ่งเข้ามาเปลี่ยนมุมมองของ CZ ขณะที่เล่นโป๊กเกอร์กับเพื่อนที่เซี่ยงไฮ้ เพื่อนได้แนะนำให้ไปลองศึกษาสิ่งใหม่ที่ชื่อว่า Bitcoin และแนะนำให้ลองลงทุนสัก 10% ในสินทรัพย์นี้
แต่ทว่าคนแบบ CZ ไม่ได้มองแบบนั้น เมื่อลองศึกษาแล้ว เขากลับยอมขายอพาร์ทเมนต์ของตัวเองแล้วเอาเงินทั้งหมดไปทุ่มให้กับ Bitcoin ถึงขั้นที่คนรอบตัวห้ามก็ไม่ยอมฟัง
และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อ CZ หันมาสู่วงการคริปโตฯ อย่างเต็มตัวก็ได้ตัดสินใจไปเข้าร่วมงานกับ Blockchain.info ในทีมพัฒนา และต่อมาได้ก้าวขึ้นไปเป็น Chief Technology Officer (CTO) ของ OKCoin หนึ่งในเว็บเทรดคริปโตฯ รายใหญ่ของจีนในยุคนั้น
CZ ที่ศึกษามาอย่างดี ก็พบว่าแพลตฟอร์มคริปโตฯ ในตอนนั้นห่วยแตกแค่ไหน เมื่อเทียบกับระบบเทรดของตลาดหุ้น เขามองว่าถ้าเขาเอาความเชี่ยวชาญที่สะสมมาในโลกการเงินดั้งเดิม ไปยกระดับระบบคริปโตฯ มันจะกลายเป็นแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนวงการได้จริง และหลังจากที่ได้เห็นปัญหา-ช่องว่างทั้งหมดในระบบเทรดคริปโตฯ ก็ได้หันมาเป็นผู้สร้างอาณาจักรของตัวเอง
จุดเริ่มต้นของ Binance เกิดขึ้นในปี 2017 ที่กำลังเป็นช่วงบูมของตลาดคริปโตฯ เนื่องจากกระแส Initial Coin Offering หรือ ICO ระดมทุนจากการขายโทเคนดิจิทัล เรียกได้ว่าเป็นวิธีการระดมทุนแบบไร้ข้อจำกัดทางกฎหมาย แค่มี White Paper ก็สามารถโกยเงินหลายล้านดอลลาร์ได้แล้ว
ในระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน ถึง 3 กรกฎาคม ปี 2017 ทาง Binance ได้จัดระดมทุนผ่าน ICO ขายโทเคนของตัวเองในชื่อ Binance Coin หรือ BNB จำนวน 100 ล้านเหรียญ จนสามารถระดมทุนไปได้มากถึง 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในรูปของ Bitcoin และ Ethereum โดยตั้งราคาขายที่ประมาณ 0.11 ดอลลาร์สหรัฐต่อ BNB
ทั้งนี้ ในช่วงเริ่มต้น Binance ดำเนินงานทุกอย่างภายในประเทศจีน แต่ CZ ที่มีประสบการณ์ในการจับสัญญาณทางการเมืองมาก่อน ก็มองเห็นพายุล่วงหน้า จึงตัดสินใจย้ายเซิร์ฟเวอร์และสำนักงานใหญ่ของบริษัทออกจากจีนทันทีไปอยู่ที่ญี่ปุ่น ก่อนที่รัฐบาลจีนจะประกาศแบนคริปโตฯ อย่างสมบูรณ์ในเดือนกันยายน ปี 2017
และหลังจากเปิดตัวได้เพียง 180 วัน Binance ก็ขึ้นแท่นเป็นเว็บเทรดคริปโตฯ ที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในโลก และรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้หลายปี โดยกลยุทธ์เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการสร้างระบบ Flywheel ให้มีคนเข้ามาใช้งาน และติดหนึบ ด้วยกลยุทธ์ดังนี้
เมื่อเริ่มครองตลาดเทรดคริปโตฯ ได้แล้ว CZ ไม่หยุดแค่นั้น เขาเร่งสร้างอีโคซิสเต็มที่ครบวงจรมากขึ้น เพื่อให้ Binance กลายเป็นบ้านหลังเดียวสำหรับทุกความต้องการในโลกคริปโตฯ ตั้งแต่เริ่มเรียนรู้ จนถึง DeFi ระดับสูง โดย Binance ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาอีก
กลยุทธ์ที่น่าสนใจคือ การสร้าง BNB Chain ที่เปิดตัวไปเมื่อกันยายน ปี 2020 เป็นบล็อกเชนที่สร้างขึ้นมาเพื่อแข่งขันกับ Ethereum โดยตรง รองรับ EVM (Port แอปจาก Ethereum ได้ง่าย) ค่าธรรมเนียมต่ำ เร็วกว่า (โดยใช้กลไก Proof-of-Staked-Authority) และยังเปิดตัวในช่วงที่ Ethereum มี Gas แพง ทำให้คนแห่มาใช้
นอกจากนี้ Binance ยังใช้กลยุทธ์เข้าซื้อกิจการ และสร้างแบรนด์ย่อยขึ้นมาเพื่อให้มีอีโคซิสเต็มที่ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น
Binance ไม่ได้แค่สร้างเว็บเทรด แต่คือ รัฐขนาดย่อมในโลกคริปโตฯ ที่มีทั้งตลาดทุน ระบบการเงิน การศึกษา CSR และระบบนิเวศที่ผู้ใช้เข้าแล้วแทบไม่อยากออก เป็นกลยุทธ์แบบบูรณาการแนวดิ่ง (Vertical Integration) ที่เปลี่ยน Binance จากสตาร์ทอัพ ICO เล็ก ๆ ให้กลายเป็นจักรวรรดิคริปโตที่ครองโลกในเวลาอันสั้น
เบื้องหลังการเติบโตแบบเต็มสปีดของ Binance คือกลยุทธ์ที่หลายคนเรียกว่า “โตไปก่อน ค่อยว่ากันทีหลัง” แต่เมื่ออุตสาหกรรมเริ่มเข้าสู่การควบคุมจริงจัง และเจ้าหน้าที่ทั่วโลกเลยหันมาเพ่งเล็ง จนทำให้ Binance เริ่มระส่ำระสาย
ในปี 2023 ก.ล.ต.ของสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้อง CZ และ Binance รวม 13 ข้อกล่าวหา โดยครอบคลุม 3 ประเด็นใหญ่ ได้แก่
ทุกอย่างดำเนินมาจนถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน ปี 2023 ที่ Binance ได้กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกอีกครั้ง หลังจากที่บริษัทและ CZ ได้ยอมรับผิดแบบเต็มรูปแบบต่อข้อกล่าวหา โดยมีสาระสำคัญดังนี้
นอกจากนี้ Binance ยังต้องยอมให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เข้าตรวจสอบทุกระบบและบัญชีเป็นเวลา 5 ปี พร้อมถอนตัวจากตลาดสหรัฐฯ อย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้ การรับผิดของ CZ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่เรียกได้ว่าเป็นการเสียสละเชิงกลยุทธ์ เพื่อปกป้ององค์กรที่เขาสร้าง และการถอนตัวออกจากตำแหน่งซีอีโอก็เพื่อให้ Binance ได้ไปต่อภายใต้โครงสร้างใหม่
หลังพ้นโทษจากเรือนจำในเดือนกันยายน ปี 2024 ทาง CZ ก็ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนอีกครั้งบนเวทีใหญ่ Binance Blockchain Week ที่ดูไบ ซึ่งเขาให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พ้นโทษ โดยกล่าวถึงชีวิตในคุก 4 เดือนว่า “เป็นช่วงเวลาที่ได้ทบทวนชีวิต” พร้อมประกาศว่า “จะเดินหน้าต่อไปแต่จะไม่ได้ไปบริหาร Binance แล้ว”
ปัจจุบัน CZ โฟกัสอยู่กับการเป็นนักลงทุน Passive Investor โดยจะไม่กลับไปบริหารงานกับ Binance พร้อมกับทำกิจกรรมเพื่อสังคม เขาชี้แจงชัดเจนว่าแม้ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ Binance แต่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการบริหารอีกแล้ว โดยมุ่งความสนใจไปที่ Giggle Academy โครงการการศึกษาแบบไม่แสวงหากำไร และการเป็นที่ปรึกษาระดับสูงด้านนโยบายคริปโตฯ ให้กับรัฐบาลประเทศต่าง ๆ เช่น ปากีสถาน และคีร์กีซสถาน
แม้ว่าจะไม่ได้เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดในโลกคริปโตฯ แล้วแต่ CZ ก็ยังคงเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในตลาดนี้ จากข้อมูลล่าสุดของ Forbes ในเดือนสิงหาคม ปี 2025 พบว่า CZ ยังติดลิสต์มหาเศรษฐีลำดับที่ 23 ของโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สินกว่า 71,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการถือหุ้นกว่า 90% ใน Binance และเป็นเจ้าของโทเคน BNB อีกราว 64% ของโทเคนทั้งหมดอีกด้วย
และ Binance เองก็ยังคงเป็นแพลตฟอร์มเทรดคริปโตฯ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยประมาณการซื้อขายกว่า 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่มา: Forbes, Business Insider, SCMP, Yahoo! Finance, CoinMarketCap, CoinTelegraph [1][2], SEC, Untaylored, Business of Apps
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney