
มาร์ค คิวบานเริ่มต้นธุรกิจจากการขายถังขยะในวัยเด็ก ก่อนจะประสบความสำเร็จจากการขาย MicroSolutions และ Broadcast.com
หนึ่งในแนวหน้ามหาเศรษฐีของสหรัฐอเมริกา นอกจากนักธุรกิจสายเทคโนโลยีอย่าง อีลอน มัสก์ หรือ มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก แล้ว ยังมีชื่อของ มาร์ค คิวบาน (Mark Cuban) จากภาพจำที่ใครหลายคนเห็นจากรายการ Shark Tank รายการเรียลลิตี้โชว์พิชชิ่งธุรกิจชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ที่มาร์ค คิวบานนั่งเป็นหนึ่งในนักลงทุนผู้ร่วมตัดสิน
มาร์ค คิวบาน คือนิยามของชายที่ครบเครื่องแห่งยุคสมัย ไม่ว่าจะในบทบาทมหาเศรษฐี นักลงทุนระดับมือฉมัง เซเลบริตี้ผู้ทรงอิทธิพลในวงการโทรทัศน์ ไปจนถึงการเป็นอดีตเจ้าของทีมบาส NBA อย่าง Dallas Mavericks และสิ่งที่ทำให้คนสนใจเขาเป็นอย่างมากกลับไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขในบัญชีธนาคาร แต่เป็นคาแรกเตอร์ที่เขาสร้างขึ้น ด้วยการเป็นนักธุรกิจที่ปากกล้าแต่เข้าถึงง่าย นักลงทุนที่กล้าลงทุนจริงในไอเดียคนธรรมดา ซึ่งเห็นได้ทั้งในรายการ Shark Tank ในสนามบาส ตลอดจนบนโซเชียลมีเดีย
แต่ต้องบอกก่อนว่า เส้นทางกว่ามาร์ค คิวบานจะขึ้นมาโดดเด่นเป็นนักลงทุนปากกล้าอย่างทุกวันนี้ เขาผ่านอะไรมาหลายอย่าง เติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลางที่ต้องหาเงินด้วยตัวเองตั้งแต่อายุน้อย มีวิธีคิดการทำธุรกิจในแบบฉบับของตัวเอง บวกกับความโชคดีจากการขายธุรกิจก่อนที่ฟองสบู่จะแตกจนทำให้ประสบความสำเร็จ ด้วยความมั่งคั่งสุทธิในปัจจุบันที่มากถึง 5,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 188,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
และในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาทุกคนไปทำความรู้จักเบื้องลึกเบื้องหลัง ทั้งการเติบโต การทำธุรกิจ และแนวคิดการลงทุนของชาร์ค มาร์ค คิวบาน ว่าทำเงินได้มากขนาดไหน หามาจากไหน และใช้ไปกับอะไรบ้าง?
ส่วนนี้จะต้องขอพาย้อนอดีตไปที่เมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 31 กรกฎาคม 1958 มาร์ค คิวบานเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง โดยมีคุณพ่อทำงานเป็นช่างหุ้มเบาะรถยนต์ และเนื่องจากบ้านคิวบานจะไม่ได้มีเงินทองมากมายนัก ทำให้เขาได้สร้างทักษะการเป็นนักธุรกิจของตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก
ในช่วงที่มาร์ค คิวบานอายุได้ 12 ปี เขาตั้งเป้าจะซื้อรองเท้าผ้าใบเป็นของตัวเอง เลยตัดสินใจไปขอเงินกับผู้เป็นพ่อ แต่ ณ ตอนนั้นมีเพื่อนของพ่อคนหนึ่งบอกว่า “ถ้าอยากได้อะไร ให้ไปหาเงินมาซื้อเอง ลองเอาถุงขยะไปขายคนแถวนี้ดูสิ” และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เด็กคนหนึ่งสามารถขายถุงขยะที่ได้มาในราคา 3 ดอลลาร์สหรัฐ ออกไปในราคา 6 ดอลลาร์สหรัฐ
ครั้งหนึ่ง มาร์ค คิวบาน เคยให้สัมภาษณ์ว่า “นั่นคือธุรกิจแรกของผม และถือว่าเป็นธุรกิจส่งตรงถุงขยะถึงหน้าบ้านธุรกิจเดียวในโลกนี้ ที่ลูกค้าจ่ายแบบ Subscription เลยนะ” เพราะโมเดลธุรกิจนี้คิวบานจะบอกลูกค้าทุกครั้งว่า ถ้าต้องการตอนไหนแค่โทรหา เขาจะมาส่งสินค้าทันทีที่หน้าบ้าน
และหัวคิดธุรกิจของมาร์ค คิวบานก็กลายเป็นทักษะที่เขาพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เวลาต่อมาเขาก็มักจะเอาของหลาย ๆ อย่างออกมาขาย ไม่ว่าจะเป็นแสตมป์ เหรียญสะสม หรือแม้กระทั่งขนหนังสือพิมพ์จากเมืองอื่นมาขายในพิตต์สเบิร์กตอนที่มีการประท้วงหยุดงาน จนกลายเป็นตัวอย่างของเด็กที่เห็นช่องว่างในตลาดและรู้จักทำกำไรจากช่องว่างนั้น
ในชีวิตการเรียนของมาร์ค คิวบาน หลังจากเรียนที่ University of Pittsburgh ได้หนึ่งปี เขาตัดสินใจย้ายไปเรียนต่อที่ Indiana University (IU) Bloomington และจบการศึกษาด้วยปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจจาก Kelley School of Business ในปี 1981 โดยเหตุผลที่เลือกย้ายมาเรียนที่นี่ เพราะค่าเทอมถูกกว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ
แต่ถึงจะอยู่ในวัยเรียน เขาก็ไม่เคยที่จะหยุดทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเปิดบาร์ แถมยังกลายเป็นสถานที่สุดฮิตในเมืองช่วงหนึ่ง ไปจนถึงสอนเต้นดิสโก้ให้สาว ๆ ในมหาวิทยาลัย และหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย คิวบานก็ได้ตัดสินใจย้ายไปเมืองดัลลาส รัฐเท็กซัสในปี 1982
ในดัลลาส มาร์ค คิวบานเริ่มต้นด้วยอาชีพบาร์เทนเดอร์ ก่อนจะได้งานขายซอฟต์แวร์ที่บริษัท Your Business Software ซึ่งเป็นร้านขาย PC ในยุคเริ่มต้น แต่แล้วชะตาพลิกผัน เพราะมาร์ค คิวบานถูกไล่ออกเพราะเลือกไปพบลูกค้าแทนที่จะเปิดร้านตามคำสั่งเจ้านาย จนทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขาเลยทีเดียว
และหลังจากถูกไล่ออก คิวบานก็ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทของตัวเองชื่อ “MicroSolutions” โดยใช้เครือข่ายลูกค้าเก่าช่วยต่อยอด โดยที่บริษัทนี้เริ่มต้นจากการเป็นที่ปรึกษาด้าน IT และกลายมาเป็นผู้จัดจำหน่ายซอฟต์แวร์รายแรก ๆ ที่จับเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างเช่น Carbon Copy, Lotus Notes และ CompuServe ได้อย่างแม่นยำ จนทำให้ MicroSolutions เติบโตอย่างรวดเร็ว จนทำรายได้เกิน 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีเลยทีเดียว
ต่อมาในปี 1990 ทางมาร์ค คิวบานก็ตัดสินใจขายบริษัท MicroSolutions ให้กับ CompuServe (บริษัทในเครือ H&R Block) ด้วยมูลค่าประมาณ 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการขายกิจการครั้งนี้เขาได้รับเงินไปประมาณ 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกลายเป็นจุดที่ทำให้เขาก้าวเข้าสู่สถานะ “เศรษฐีที่สร้างตัวเองจากศูนย์” อย่างเป็นทางการ Cuban เคยพูดว่าตอนเริ่มต้น MicroSolutions เขาทั้งตกงานและถังแตก แต่ก็ยังกล้าลุยเพราะเชื่อในสิ่งที่ทำ
หลังจากขายบริษัท MicroSolutions และได้เงินก้อนแรกในชีวิตมา มาร์ค คิวบานก็ไม่ได้นั่งกินบุญเก่า แต่กลับเดินหน้าสร้างอาณาจักรใหม่ทันที ด้วยการก่อตั้งบริษัทลงทุนชื่อ “Radical Computing, Inc.” และยังเคยทำแม้กระทั่งลองแสดงหนังเล็กน้อยด้วยซ้ำ
แต่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขากลับมาจากเรื่องเล็ก ๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม ซึ่งวันหนึ่งในปี 1995 มาร์ค คิวบานกับเพื่อนสนิท ทอดด์ แวกเนอร์ (Todd Wagner) ซึ่งเป็นศิษย์เก่า Indiana University เหมือนกัน อยากฟังการถ่ายทอดสดบาสเกตบอลของทีมรัก อย่าง Indiana Hoosiers แต่กลับทำไม่ได้เพราะอยู่ที่ดัลลาส เท็กซัส และนั่นเองที่จุดประกายไอเดียสุดล้ำ อย่างการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อสตรีมเสียงถ่ายทอดสด
และแนวคิดนี้ก็นำไปสู่การจับมือกับบริษัทที่ชื่อว่า “AudioNet” โดยมาร์ค คิวบานลงทุนเริ่มแรกแค่ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อแลกกับหุ้น 2% ก่อนที่เขากับแวกเนอร์จะเข้าไปมีบทบาทหลักในการวางกลยุทธ์และบริหารบริษัท ซึ่งแนวคิดหลักในเวลานั้นถือว่าค่อนข้างล้ำยุค จนนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถสตรีมเสียงและวิดีโอผ่านอินเทอร์เน็ตโดยตรงได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยคนจะจินตนาการถึงในยุคเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต
จนในปี 1998 ที่ AudioNet ได้เปลี่ยนชื่อใหม่ไปเป็น “Broadcast.com” และเริ่มขยายบริการอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นแพลตฟอร์มที่รวมรายการถ่ายทอดสดจากหลากหลายแหล่งมาสตรีมออนไลน์ ซึ่งหนึ่งในความสำเร็จที่สร้างกระแสให้บริษัทคือการถ่ายทอดสดแฟชั่นโชว์ของ Victoria's Secret ซึ่งกลายเป็นไวรัลและพิสูจน์ว่าแพลตฟอร์มนี้มีศักยภาพมหาศาล และในระยะเวลาไม่นาน Broadcast.com ก็เพิ่มจำนวนพนักงานกลายร้อยคน และในไตรมาสที่ 2 ปี 1999 สามารถสร้างรายได้มากถึง 13.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เรียกได้ว่าเป็นบริษัทดาวรุ่งที่โตเร็วติดจรวดในยุคดอทคอม
ช่วงเวลาที่ Broadcast.com พุ่งแรงแบบนี้เอง ก็ตรงกับจุดพีคของวิกฤตฟองสบู่ดอทคอมพอดี และหลังจากที่บริษัทตัดสินใจจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้น (IPO) ในเดือนกรกฎาคม 1998 และทันทีที่เปิดซื้อขาย ราคาหุ้นพุ่งขึ้นถึง 250% ภายในวันเดียว ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของหุ้น IPO ในเวลานั้น จนทำให้มูลค่าบริษัททะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำให้ทรัพย์สินของคิวบานบนกระดาษพุ่งแตะ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในพริบตาเดียว
แต่ไฮไลต์สำคัญที่สุดของ Broadcast.com เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 1999 เมื่อ Yahoo! ได้ทำดีลเข้าซื้อกิจการด้วยมูลค่ากว่า 5,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจ่ายเป็นหุ้น Yahoo! เกือบทั้งหมด ดีลนี้จึงกลายเป็นการเข้าซื้อที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Yahoo! และเป็นความโชคดีที่ผลักดันให้มาร์ค คิวบานก้าวขึ้นเป็นมหาเศรษฐีอย่างเป็นทางการในชั่วข้ามคืน
อย่างไรก็ตาม การกลายเป็นเศรษฐีพันล้านบนกระดาษ กับการรักษาความมั่งคั่งในช่วงตลาดตก คือสองเรื่องที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยที่ทางมาร์ค คิวบานมักเล่าว่าเขาโชคดีที่ขายบริษัททันก่อนฟองสบู่จะแตก แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ เขาบริหารความเสี่ยงได้อย่างชาญฉลาด โดยการทำ Hedging ป้องกันความผันผวนของหุ้น Yahoo! ที่ได้รับ ทำให้เขารักษาทรัพย์สินไว้ได้แทบทั้งหมดในช่วงตลาดทรุด กลยุทธ์นี้ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในการซื้อขายที่ฉลาดที่สุดในยุคดอทคอม จนต่อมาที่ทาง Yahoo! ตัดสินใจยกเลิก Broadcast.com ไปทางคิวบานยังพูดติดตลกเสมอว่า “Yahoo! ทำพังหมดเลย”
จุดจบของ Broadcast.com ภายใต้การบริหารของ Yahoo! ก็ยิ่งเน้นให้เห็นว่า ความมั่งคั่งจากเทคโนโลยีในยุคนั้นหลายครั้งเป็นเพียงมายา และยืนยันว่าการตัดสินใจขายทิ้งของ Cuban เป็นเรื่องที่ถูกต้องมากในเวลานั้น เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นกรณีศึกษาในเรื่องการควบรวมกิจการในยุคที่เกิดฟองสบู่เทคโนโลยี และความเสี่ยงในการควบรวมหลังการซื้อกิจการ สำหรับมาร์ค คิวบานแล้ว มันคือบทพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้แค่ “สร้างมูลค่า” แต่รู้จักวิธี “เปลี่ยนมูลค่าเป็นความมั่งคั่ง” ได้อย่างมีศิลปะ
เส้นทางของ Broadcast.com ไม่ใช่โชคช่วยอย่างเดียว แต่มาจากการผสมผสานกันของไอเดียที่ล้ำยุค การเข้าตลาดหุ้นในเวลาที่เหมาะสม และการจัดการทรัพย์สินหลังดีลอย่างมืออาชีพ โดยที่มาร์ค คิวบานเห็นแนวโน้มของเทคโนโลยีสตรีมมิ่งล่วงหน้าหลายปี และใช้โอกาสนั้นสร้างธุรกิจให้เติบโตระดับพันล้าน ไม่ใช่แค่สร้าง แต่ยังรู้จักจังหวะขายที่ดีที่สุดด้วย จนกลายเป็นภาพสะท้อนว่าเขาคือหนึ่งในนักธุรกิจที่มีทั้งความคิดสร้างสรรค์และมันสมองด้านการเงินที่เฉียบคม
แม้จะกลายเป็นมหาเศรษฐีจากการขาย Broadcast.com แต่สองบทบาทหลังจากนี้คือเครื่องมือที่ทำให้ชื่อมาร์ค คิวบานกลายเป็นที่รู้จักในระดับโลก นั่นคือการเป็นเจ้าของทีมบาสเกตบอลอย่าง “Dallas Mavericks” และการเป็นนักลงทุนคนสำคัญในรายการเรียลลิตี้ชื่อดัง “Shark Tank”
มาร์ค คิวบาน ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนบาสตัวยงมาตลอดชีวิต และเคยเป็นผู้ถือตั๋วฤดูกาลของ Mavericks อยู่แล้ว ก่อนจะตัดสินใจซื้อทีมในปี 2000 ด้วยมูลค่า 285 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีจุดเด่นในการบริหารทีมแบบ “เอาจริงเอาจัง” และ “อินกับเกม” อย่างถึงที่สุด ไม่เหมือนเจ้าของทีมทั่วไป จนขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าของทีมที่เสียงดังที่สุดในลีก จนบางครั้งก็ขัดแย้งกับกรรมการหรือแม้แต่กับนโยบายของ NBA
คิวบานได้ทุ่มงบลงทุนพัฒนาโครงสร้างทีมจำนวนมหาศาล จัดเต็มทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกและสวัสดิการผู้เล่น จนทำให้ Dallas กลายเป็นทีมที่นักบาสอยากย้ายมาอยู่ด้วย และความมุ่งมั่นนี้ก็ตอบแทนกลับมาเป็นผลงานในสนาม ซึ่งทีมเข้าสู่รอบชิง NBA ในปี 2006 และคว้าแชมป์ NBA อย่างยิ่งใหญ่ในปี 2011 เหตุการณ์นี้ช่วยยกระดับชื่อเสียงของคิวบานในวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2023 เขาตัดสินใจขายหุ้นส่วนใหญ่ของทีมให้กับตระกูลอเดลสัน (Adelson) ในดีลที่ประเมินมูลค่าทีมไว้สูงถึง 4,840 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคิวบานได้รับส่วนแบ่งประมาณ 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ยังคงถือหุ้นส่วนน้อยและรักษาสิทธิ์ในการควบคุมทีมเอาไว้
นอกจากนี้ ในปี 2011 มาร์ค คิวบานก็ก้าวเข้าสู่โลกของโทรทัศน์ โดยรับหน้าที่เป็นหนึ่งใน “Shark” นักลงทุนของรายการ Shark Tank ตั้งแต่ซีซันที่ 2 รายการนี้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่ได้เสนอไอเดียต่อเหล่านักลงทุนตัวจริง เพื่อขอเงินทุนและคำแนะนำ
จากรายการนี้ มาร์ค คิวบานโดดเด่นบนหน้าจอด้วยบุคลิกตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ถามตรง ประเมินชัด และกล้าตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ซึ่งภายในเดือนพฤษภาคม 2015 ข้อมูลระบุว่าเขาลงทุนไปแล้วเกือบ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน 85 ธุรกิจจากทั้งหมด 111 ตอน หนึ่งในการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดคือการใส่เงิน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อถือหุ้น 20% ใน Ten Thirty One Productions ธุรกิจโชว์ผีสุดสยองที่จัดแสดงสดอย่างอลังการ
แม้จะลงทุนมากมาย แต่ในปี 2022 คิวบานก็ออกมายอมรับตรง ๆ ว่าโดยรวมแล้วพอร์ตการลงทุนในรายการ Shark Tank ติดลบ พร้อมพูดแบบไม่อ้อมค้อมว่า “ผมแพ้บ้างก็มี” ประโยคนี้ตอกย้ำความจริงของโลกการลงทุนที่แม้แต่นักลงทุนแถวหน้าก็ยังเจ็บตัวได้ และวลีเด็ดที่เขาใช้บ่อยในรายการอย่าง “และด้วยเหตุผลนั้น ผมขอถอนตัว” (And for that reason, I’m out) ก็กลายเป็นประโยคติดหูไปทั่วอเมริกา
การมีส่วนร่วมในทั้ง Shark Tank และ Mavericks ไม่ได้เป็นแค่การลงทุนเพื่อผลตอบแทน แต่คือการสร้างตัวตนบนพื้นที่สาธารณะของมาร์ค คิวบานให้ชัดเจนว่าเขาคือคนที่อินกับทุกสิ่งที่ทำ ไม่ว่าจะตะโกนใส่กรรมการ NBA หรือแสดงความเห็นอย่างเผ็ดร้อนใส่ผู้ประกอบการในรายการ ทุกสิ่งที่คิวบานทำสะท้อนจุดยืนของเขา ทั้งการเป็นนักธุรกิจผู้กล้า ไม่กลัวขัดแย้ง รักการแข่งขัน และไม่เชื่อในกรอบเดิม ๆ
หลังจากดีลขาย Broadcast.com ได้กำไรหลายพันล้าน มาร์ค คิวบานก็เริ่มกระจายเงินไปลงทุนในหลายธุรกิจที่เขาสนใจ ทั้งเพราะความชอบส่วนตัวและการวิเคราะห์ทางธุรกิจที่เฉียบคม แม้เขาจะเคยแนะนำคนทั่วไปให้ลงทุนแบบปลอดภัย แต่ตัวเขาเองกลับถือเงินสดไว้มาก และรอลงทุนในจังหวะที่มั่นใจว่ามีข้อมูลชัดเจน หรือเห็นโอกาสทำให้เกิดผลกระทบจริง โดยเคยกล่าวว่า “ถ้าไม่รู้อะไรแน่ชัด ก็เก็บเงินไว้ดีกว่า”
หนึ่งในธุรกิจแรก ๆ หลังเป็นมหาเศรษฐีคือ “2929 Entertainment” ซึ่งเขาร่วมก่อตั้งกับทออด์ แวกเนอร์ ในปี 2003 บริษัทนี้เป็นกลุ่มธุรกิจบันเทิงครบวงจร ตั้งแต่ผลิตหนังไปจนถึงจัดฉายและจำหน่ายตั๋ว โดยมี Landmark Theatres เป็นไฮไลต์หลัก (เครือโรงหนังอาร์ตเฮาส์ 58 สาขาที่ซื้อในปีเดียวกัน) และยังร่วมผลิตหนังอย่าง Good Night and Good Luck และ Enron: The Smartest Guys in the Room ที่ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งโปรเจกต์คือ “AXS TV” (เดิมชื่อ HDNet) ซึ่งเป็นช่องทีวีคุณภาพสูงที่เปิดตัวในปี 2001
นอกเหนือจากธุรกิจขนาดใหญ่ เขายังลงทุนในสตาร์ทอัปจำนวนมาก (นอกเหนือจาก Shark Tank) โดยมีทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว ตัวอย่างเช่น
ทว่าไฮไลต์ที่น่าจับตามองที่สุดคือ “Mark Cuban Cost Plus Drug Company” หรือ MCCPDC บริษัทขายยาราคาถูกที่เปิดตัวในปี 2022 กับ Dr. Alex Oshmyansky โดยมุ่งเป้า “ล้มระบบราคาแพงของวงการยาในสหรัฐอเมริกา”
โดยโมเดลธุรกิจของ MCCPDC คือการทำงานแบบไม่พึ่งพาคนกลาง ไม่ใช้ Pharmacy Benefit Managers (PBMs) ทำให้ลดต้นทุนได้ โดยขายยาตามสูตร “ต้นทุน + 15% + ค่าจัดการ $3 + ค่าจัดส่ง $5” เท่านั้น จนถึงขั้นถูกยกให้เป็นดิสรัปเตอร์ตัวจริงในตลาดยา ช่วยให้ผู้ป่วยประหยัดเงิน และได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งเภสัชกรและผู้ใช้งาน
โดยมาร์ค คิวบานเคยกล่าวไว้ว่า “ความสุขของผมคือการเล่นงานพวก PBMs ให้เละ” พร้อมเสริมว่า “ผมไม่ต้องการเงินเพิ่มแล้ว” แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เขาทำไม่ใช่เพราะต้องการผลตอบแทน แต่เพราะต้องการ “แก้เกมระบบที่ไม่แฟร์” เท่านั้นเอง
ที่มา: Business Insider, Economic Times, Investopedia, Yahoo!, Forbes, MoneyWise
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney