วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับตำนานวัย 94 ปี ประกาศเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่าจะลาออกจาก CEO ของ Berkshire Hathaway ภายในสิ้นปีนี้ หลังจากทำงานในตำแหน่งนี้มานานกว่า 60 ปี โดยเขาจะยังคงเป็นประธานกรรมการบริษัทต่อไป และจะส่งต่อตำแหน่ง CEO ให้กับ เกรก อาเบล โดยคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการตัดสินใจครั้งนี้เป็นที่เรียบร้อย
ตลอดระยะเวลาการบริหารงานของวอร์เรน บัฟเฟตต์ จากรายงานประจำปีล่าสุด หุ้นของ Berkshire Hathaway ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 5,502,284% ตั้งแต่วอร์เรน บัฟเฟตต์ เริ่มบริหารในปี 1965 จนถึงสิ้นปี 2024 ในขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นเพียง 39,054% รวมเงินปันผล ในช่วงเวลาเดียวกัน
หากคำนวณเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น Berkshire Hathaway ให้ผลตอบแทน 19.9% ต่อปี ซึ่งสูงกว่า S&P 500 ที่ให้ผลตอบแทน 10.4% ต่อปีเกือบเท่าตัว
สำหรับความสำเร็จของวอร์เรน บัฟเฟตต์มาจากความสามารถในการบริหารเงินลงทุนที่โดดเด่นใน 2 ด้านได้แก่
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ จะทำผลงานได้ดีกว่าตลาดเสมอไป มีบางช่วงที่ Berkshire Hathaway ล้าหลังดัชนี ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2023 ขณะที่ S&P 500 ฟื้นตัว 26.3% หุ้นของBerkshire Hathaway เพิ่มขึ้นเพียง 15.8%
ศาสตราจารย์เจเรมี ซีเกล ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย กล่าวชื่นชมความสามารถของบัฟเฟตต์ในการทำผลงานเหนือกว่า S&P 500 เกือบ 2% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
"สำหรับนักลงทุนแนว value ที่จะทำผลงานเหนือ S&P 500 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหนึ่งในทศวรรษที่ยากที่สุด หากไม่ใช่ทศวรรษที่ยากที่สุดสำหรับนักลงทุน value ในรอบ 100 ปี นับเป็นเรื่องพิเศษอย่างยิ่ง ผมไม่คิดว่านักลงทุน value คนไหนจะเทียบเขาได้"
อย่างไรก็ตามวอร์เรน บัฟเฟตต์ มีแนวโน้มที่จะจบปีสุดท้ายในฐานะ CEO ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมอีกครั้ง หุ้น Class A ของเบิร์กเชียร์เพิ่มขึ้นเกือบ 19% ในปี 2025 และทำสถิติสูงสุดใหม่ก่อนการประชุมประจำปีเมื่อวันศุกร์ ในขณะที่ S&P 500 ลดลงมากกว่า 3% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ การตัดสินใจของวอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่ได้สร้างความประหลาดใจมากนักในหมู่ผู้ลงทุนที่ติดตามบริษัทมานาน เนื่องจากเขาได้วางแผนการสืบทอดตำแหน่งมานานหลายปี และได้มอบหมายให้อาเบลรับผิดชอบการดำเนินงานบางส่วนของบริษัทมาระยะหนึ่งแล้ว
อ้างอิง CNBC