
แซม อัลต์แมน ก่อตั้ง OpenAI และเป็นผู้พัฒนา ChatGPT ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ AI
ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงทุกวี่ทุกวัน เมื่อมีการกล่าวถึงเทคโนโลยี คงหนีไม่พ้นประเด็นของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีที่เคยอยู่เพียงในงานวิจัยหรือแวดวงวิศวกรรม ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งในภาคธุรกิจ การศึกษา การแพทย์ และการสื่อสาร AI กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งต่อโลกใบนี้ และหนึ่งในบุคคลที่หลายคนจะต้องนึกถึง จากบทบาทที่มีในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ ก็จะต้องมีชื่อของ “Sam Altman” ลอยขึ้นมาเสมอ
Sam Altman ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ “OpenAI” คือผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาและเปิดตัว “ChatGPT” ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการเทคโนโลยี เมื่อปลายปี 2022 การเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึง ChatGPT ได้อย่างกว้างขวาง กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการนำ Generative AI เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวัน สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก ทั้งในแง่เทคโนโลยี การแข่งขันทางธุรกิจ และนโยบายสาธารณะด้านความปลอดภัยของ AI
แม้ไม่มีหุ้นใน OpenAI โดยตรง แต่ Sam Altman ได้สร้างความมั่งคั่งจากการลงทุนในสตาร์ทอัพชั้นนำระดับโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมา และในปัจจุบัน จากการจัดอันดับของ Forbes ระบุว่า Altman มีทรัพย์สินสุทธิราว 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งปี
ในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปย้อนดูเส้นทางของ Sam Altman เด็กชายที่เติบโตจากครอบครัวนักธุรกิจ สู่การก้าวเข้าสู่โลกเทคโนโลยี ก่อตั้งธุรกิจ เติบโตในวงการสตาร์ทอัพ จนถึงการก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในอนาคตของเทคโนโลยี AI ที่กำลังเปลี่ยนโฉมอนาคตของมนุษยชาติ
ย้อนกลับไปในวันที่ 22 เมษายน ปี 1985 ในชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ Sam Altman เกิดมาในครอบครัวที่เรียกได้ว่าเพียบพร้อม ที่คุณแม่เป็นแพทย์ผิวหนัง ส่วนด้านคุณพ่อประกอบอาชีพเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ก่อนที่ครอบครัวนี้จะย้ายถิ่นฐานมาที่เซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา และที่นี่เอง Sam Altman ก็เติบโตมาเป็นพี่ชายคนโตในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 4 คน
แม้จะเติบโตในครอบครัวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีโดยตรง แต่ความสนใจในโลกดิจิทัลของ Sam Altman ก็เริ่มต้นตอนอายุเพียง 8 ขวบ เมื่อได้รับคอมพิวเตอร์เครื่องแรกเป็น Apple Macintosh ก่อนที่จะเรียนรู้การเขียนโปรแกรมด้วยตนเองอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองจนถึงขั้นถอดประกอบฮาร์ดแวร์ภายในเพื่อศึกษาการทำงานของเครื่องอย่างละเอียด และจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ นี้ก็ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจที่ปูทางสู่เส้นทางสายเทคโนโลยีในอนาคต
Sam Altman ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเอกชน John Burroughs School ในเมืองลาเดอ รัฐมิสซูรี ซึ่งขึ้นชื่อด้านคุณภาพการศึกษา และในช่วงวัยนี้เอง คือช่วงสำคัญของ Sam Altman ในการแสดงจุดยืน และเป็นต้นแบบ หลังจากที่ได้ประกาศตัวว่าเป็นเกย์ต่อหน้าเพื่อนนักเรียนระหว่างการประชุมของโรงเรียน พร้อมกับมีการเรียกร้องให้โรงเรียนสนับสนุนสิทธิของนักเรียน LGBTQ โดยเสนอให้ติดป้าย “Safe Space” เพื่อแสดงว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน เหตุการณ์นั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในวัฒนธรรมของโรงเรียน
และหลังจบ Sam Altman ก็ได้เข้าศึกษาต่อด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ Stanford University หนึ่งในสถาบันชั้นนำของโลกในสายเทคโนโลยี แต่แล้วก็เลือกลาออกหลังจากเรียนได้เพียง 2 ปี เพราะในปี 2005 ทาง Sam Altman ได้หันไปมุ่งหน้าสู่เส้นทางผู้ประกอบการเต็มตัว โดยให้เหตุผลว่า “ประสบการณ์จากโลกจริง สอนอะไรได้มากกว่าการนั่งเรียนในห้อง” และตรงนี้เอง ก็เป็นจุดเริ่มต้นของสตาร์ทอัพ “Loopt”
ในปี 2005 คือจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจของ Sam Altman จากการก่อตั้งสตาร์ทอัพ “Loopt” ร่วมกับเพื่อน ๆ โดยโปรดักต์ของที่นี่คือแอปพลิเคชันรูปแบบโซเชียลที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแชร์ตำแหน่งที่ตั้งปัจจุบันกับเพื่อนได้แบบเรียลไทม์ โดย Sam Altman รับหน้าที่เป็นซีอีโอ และสามารถระดมทุนจาก Venture Capital ไปได้กว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐหลังจากก่อตั้งได้ไม่นานในช่วงไม่กี่ปีถัดมา
Loopt เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพชุดแรก ๆ ที่เข้าร่วมโปรแกรมของ “Y Combinator” ในปี 2005 ซึ่งเป็น Startup Accelerator ที่จะมาร่วมลงทุนหนุนสตาร์ทอัพในช่วงแรก ๆ ของการก่อตั้งนั่นเอง และ Loopt ก็ได้รับเงินทุนตั้งต้นรวมถึงคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในวงการเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม แม้ Loopt จะมีการจับมือเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับโอเปอเรเตอร์รายใหญ่หลายรายในสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังเคยได้รับการประเมินมูลค่าว่าในช่วงพีคมีมูลค่าสูงถึง 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ท้ายที่สุด Loopt กลับไม่สามารถสร้างฐานผู้ใช้จำนวนมากได้
จนในเดือนมีนาคม ปี 2012 สตาร์ทอัพ Loopt ก็ถูกซื้อกิจการไปโดย Green Dot Corporation ด้วยมูลค่ากว่า 43.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับเงินทุนที่เคยระดมมาได้ แม้จะไม่ใช่ความสำเร็จระดับยูนิคอร์น แต่ Loopt คือใบเบิกทางให้ Sam Altman เข้าสู่โลกของ Silicon Valley อย่างเต็มตัว พร้อมเงินทุนส่วนตัวประมาณ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการขายกิจการ Loopt ออกไปนั่นเอง
ในช่วงปี 2011 ระหว่างการเจรจาดีลขาย Loopt นั้น Sam Altman ได้เข้าร่วมกับ “Y Combinator” หรือ YC ในฐานะพาร์ทเนอร์ และก็ได้ร่วมก่อตั้งกองทุน “Hydrazine Capital” ร่วมกับน้องชายในปี 2012 เพื่อเน้นลงทุนในสตาร์ทอัพสายเทคโนโลยีระยะเริ่มต้น โดยกองทุนนี้สามารถระดมทุนไปได้ราว 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเงินที่มาจากกำไรของ Loopt และยังได้ VC ระดับตำนานอย่าง Peter Thiel มาร่วมลงทุนอีกด้วย
แนวคิดการลงทุนของ Sam Altman จะมุ่งเน้นไปที่สตาร์ทอัพที่ดู “ยุ่งเหยิง” หรือที่ไม่ได้ถูกประเมินค่าอย่างเหมาะสมจากตลาด เพราะเขาเชื่อว่าในธุรกิจเหล่านี้มักจะมีศักยภาพซ่อนอยู่ หนึ่งในดีลที่โดดเด่นคือการเข้าลงทุนในรอบ Series B ของ Reddit ตอนปี 2014 และกลายเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ รวมถึงเข้าร่วมเป็นบอร์ดบริหารของ Reddit ด้วย
จากวิสัยทัศน์และสายตาเฉียบคมในการเฟ้นหาสตาร์ทอัพ ทำให้ Paul Graham และ Jessica Livingston ผู้ร่วมก่อตั้ง YC ชักชวนให้ Sam Altman ขึ้นเป็นประธานของ Y Combinator แทน Paul Graham ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2014 ขณะที่มีอายุเพียง 28 ปี
ภายใต้การนำของ Sam Altman ทำให้ YC กลายเป็นศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพอันดับ 1 ของโลกอย่างมั่นคง โดยในช่วงปลายปี 2014 มูลค่ารวมของบริษัทในเครือ YC พุ่งสูงกว่า 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำโดยธุรกิจชื่อดังอย่างเช่น Airbnb, Dropbox, Stripe และอีกมากมาย
นอกจากนี้ Sam Altman ยังตั้งเป้าขยาย YC อย่างทะเยอทะยาน ด้วยการเพิ่มจำนวนธุรกิจสตาร์ทอัพที่จะเข้าไปลงทุนและให้การสนับสนุนเป็น 1,000 แห่งต่อปี พร้อมผลักดันการลงทุนในเทคโนโลยีอื่น ๆ นอกเหนือจากซอฟต์แวร์ อย่างเช่น AI พลังงาน และไบโอเทคโนโลยี
ในปี 2015 เขาเปิดตัว 2 โครงการใหม่ ได้แก่ “YC Continuity Fund” มูลค่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของบริษัท YC ระยะหลัง และ “YC Research” ห้องปฏิบัติการวิจัยไม่แสวงกำไร ซึ่ง Sam Altman ก็ได้บริจาคเงินส่วนตัวถึง 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสนับสนุนห้องปฏิบัติการนี้
และไม่เพียงแค่เป็นผู้นำเบื้องหลัง YC เท่านั้น Sam Altman ยังได้ช่วยแบ่งปันความรู้ ผ่านการเขียนออกแบบหลักสูตรและร่วมสอนใน Stanford University ในหลักสูตรที่ชื่อว่า “How to Start a Startup” จนกลายเป็นคู่มือของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ทั่วโลก
แม้จะยังคงทำงานใน YC แต่ Sam Altman ก็เริ่มหันความสนใจไปยัง “เทคโนโลยีแห่งอนาคต” อย่างปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI โดยในเดือนธันวาคม ปี 2015 เขาได้ร่วมมือกับ Elon Musk และผู้นำวงการเทคโนโลยีหลายคนในการก่อตั้ง “OpenAI” องค์กรวิจัยที่มุ่งสร้าง AI ที่ปลอดภัยและเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ
โดยทีมผู้ก่อตั้งประกาศมอบเงินสนับสนุนรวม 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมประกาศกร้าว ตั้งเป้าสร้าง AI ที่จะช่วยโลก แทนที่จะเป็นภัยต่อมนุษย์ โดยที่ Sam Altman เองก็เคยพูดไว้ว่า “ต้องแน่ใจว่า AI จะไม่ล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์” โดย OpenAI ได้เริ่มต้นในฐานะองค์กรไม่แสวงหากำไร พร้อมรวมตัวนักวิจัยระดับหัวกะทิ เพื่อสร้างเทคโนโลยี AI ที่จะไม่ถูกกดดันและนำมาใช้ในเป้าหมายเชิงพาณิชย์
Sam Altman รับหน้าที่เป็นซีอีโอของ OpenAI มาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ทำหน้าที่ควบคุมทิศทางร่วมกับบอร์ดบริหารที่มีทั้งเขาและ Elon Musk เป็นประธานร่วม แต่เมื่อ OpenAI เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด Sam Altman ก็ได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ เปลี่ยนโครงสร้างองค์กรในปี 2019 จากไม่แสวงหากำไรเป็นแบบ “แสวงหาผลกำไรแบบจำกัด” หรือ “Capped-Profit” กล่าวคือ จะทำกำไรสูงกว่าจำนวนที่ตั้งไว้ไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนโดยยังรักษาภารกิจหลักไว้
โดย Sam Altman ได้อธิบายว่า รูปแบบองค์กรแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ จึงสร้าง OpenAI LP ขึ้นมาเป็นโมเดลใหม่ที่ผสมระหว่างไม่แสวงกำไรกับหากำไรอย่างลงตัว และในปีเดียวกันนั้น เขาก็ประกาศลาออกจากบทบาทใน YC เพื่อทุ่มเทให้กับ OpenAI อย่างเต็มตัว
จากการตัดสินใจในครั้งนั้น Sam Altman ได้ตัดสินใจบินไปยังซีแอตเทิลเพื่อพรีเซนต์ผลงานของ OpenAI กับ Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft ดูด้วยตนเอง จนนำมาสู่ดีลมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก Microsoft พร้อมความร่วมมือด้านคลาวด์ครั้งใหญ่
ภายใต้การนำของ Sam Altman ที่ปรับแนวทางของ OpenAI เปลี่ยนจุดโฟกัสไปยัง Generative AI ที่สามารถสร้างข้อความและภาพจากข้อมูลจำนวนมหาศาล เพื่อเข้าใกล้เป้าหมาย Artificial General Intelligence (AGI) หรือ AI ที่มีความสามารถระดับมนุษย์ ก็ได้ทำการพัฒนาและปล่อยโมเดลใหม่ ๆ ออกมาต่อเนื่อง
จากจุดเริ่มต้นของโมเดล GPT-2 ในปี 2019 มาเป็น GPT-3 ในปี 2020 สู่ DALL·E ในปี 2021 ต่อมาก็เปิดตัว ChatGPT ด้วยโมเดล GPT-3.5 ในปี 2022 สู่สาธารณะ เพื่อเก็บฟีดแบ็กจากผู้ใช้แบบเปิดกว้าง ปรากฏว่า ChatGPT กลายเป็นไวรัลทันที มีผู้ใช้งานทะลุ 1 ล้านคนภายใน 5 วัน สร้างปรากฏการณ์ระดับโลก และกลายเป็นแรงผลักดันให้ Sam Altman เป็นที่รู้จักในวงกว้างในฐานะผู้นำ AI แห่งยุค และหลังจากนั้น OpenAI ก็ได้ต่อยอดมาสู่โมเดลต่าง ๆ ทั้ง GPT-4, GPT-o3, GPT-4o, GPT-4.5 และ GPT-o1
แม้จะเป็นผู้บริหารของบริษัทที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ แต่ความมั่งคั่งส่วนตัวของ Sam Altman กลับไม่ได้มาจากเงินเดือนสูงลิบหรือการถือหุ้นใน OpenAI แต่อย่างใด เพราะในความเป็นจริงแล้ว Sam Altman ไม่มีหุ้นโดยตรงใน OpenAI เลย แต่ทว่าทรัพย์สินระดับพันล้านนี้กลับมาจากการลงทุน และการขายกิจการสตาร์ทอัพก่อนหน้านี้ที่ประสบความสำเร็จ
จากข้อมูลของ Forbes ชี้ว่า ปัจจุบัน Sam Altman มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยรายได้หลักมาจากการลงทุนและการถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ใช่จากการดำเนินงานของ OpenAI โดยตรง จุดเริ่มต้นของความมั่งคั่งนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2012 จากการขายกิจการ Loopt ให้กับ Green Dot มูลค่า 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแม้จะไม่ถือว่าเป็นบิ๊กดีลตามมาตรฐานของ Silicon Valley แต่ก็สร้างรายได้ส่วนตัวให้ Altman หลายล้านดอลลาร์ทันที
สิ่งที่น่าสนใจคือ Sam Altman ได้นำเงินจากการขาย Loopt ได้ที่ประมาณ 75% ไปลงทุนต่อในสตาร์ทอัพรายอื่นทันที เปลี่ยนรายได้ก้อนแรกให้กลายเป็นพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผ่านกองทุน Hydrazine Capital และบทบาทใน Y Combinator อีกทั้งยังสะสมหุ้นในบริษัทหน้าใหม่หลายแห่งที่ภายหลังเติบโตต่อเนื่อง
หนึ่งในดีลที่โดดเด่นคือการลงทุนใน Reddit โดย Sam Altman เป็นผู้นำในการระดมทุนรอบ Series B มูลค่ากว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในเวลาต่อมาก็เข้าไปถือหุ้นใน Reddit ถึง 8.7% ซึ่งในช่วงต้นปี 2024 ทาง Reddit มีการประเมินมูลค่าในตลาดรองอยู่ที่ราว 35,000-40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว ซึ่งทำให้มูลค่าหุ้นของ Sam Altman ในบริษัทเดียวนี้อาจแตะ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ Sam Altman ยังมีการถือหุ้นในสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นมาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น หรือ Early Stage อีกหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น Airbnb, Stripe, Uber, Instacart, Asana และ DoorDash ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนของ YC และบางส่วนจากการลงทุนส่วนตัว โดยบริษัทในกลุ่มนี้ต่างประสบความสำเร็จทั้งในการระดมทุนและเข้าตลาดหุ้น ทำให้มูลค่าหุ้นของ Sam Altman ทวีคูณหลายเท่า
สิ่งที่น่าสนใจ คือ Sam Altman เคยออกมาประกาศชัดเจนว่า เขาไม่เคยรับเงินเดือนจาก OpenAI แม้ในช่วงที่องค์กรแปลงมาเป็นแสวงกำไรแบบจำกัดแล้วก็ตาม โดยรายได้ของเขาอยู่ที่ราว 50,000-75,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี และไม่มีหุ้นใน OpenAI LP เลย
Sam Altman เคยกล่าวว่า “นี่คืออาชีพในฝันตั้งแต่เด็ก” ที่แรงจูงใจในการทำงาน ทำธุรกิจไม่ได้อยู่ที่ผลประโยชน์ทางการเงิน แต่เป็นการได้ขับเคลื่อนเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงโลก จนในปี 2023 นิตยสาร Times ก็ได้ยกให้เขาเป็น “CEO of the Year” ตลอดจนต้นปี 2024 นิตยสาร Forbes ก็ประกาศให้เขาขึ้นทำเนียบมหาเศรษฐีอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ด้วยทรัพย์สินจากพอร์ตการลงทุนของเขาเอง
ที่มา: Business Insider, Forbes [1][2], Investopedia, Times, CNBC, Y Combinator
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney