
พลวัตของสังคมยุคใหม่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง “บทบาท” และ “ความคาดหวังทางเพศ” หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ ผู้หญิงจำนวนมากขึ้นเลือกที่จะเป็นโสดและเลือกที่จะไม่มีลูกในช่วงวัยทำงาน ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญมากของชีวิต
จากผลการศึกษาล่าสุดของ Morgan Stanley คาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 ผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 25-44 ปีประมาณ 45% จะเลือกที่จะไม่มีบุตรและเป็นโสด ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับทศวรรษที่ผ่านมา
ในอดีตภาพจำของผู้หญิงคือเมื่อมีการแต่งงาน บทบาทของการเป็นแม่มักถูกมองว่าเป็นบทบาทหลักของผู้หญิง แต่เมื่อบรรทัดฐานทางสังคมเปลี่ยนไป ผู้หญิงจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวเองและความก้าวหน้าในอาชีพมากกว่าบทบาทครอบครัวแบบดั้งเดิม ซึ่งสิ่งนี้กำลังพลิกโฉมทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจและรูปแบบการทำงานในปัจจุบัน
Morgan Stanley ยังได้เผยสถิติข้อมูลน่าสนใจอีกด้วยว่า ปัจจุบันผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการใช้จ่ายในสหรัฐฯ โดยพวกเธอมีส่วนช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และตามข้อมูลจากศูนย์วิจัย Center for American Progress และจากผลสำรวจของ MRI-Simmons พบว่า ผู้หญิงเป็นผู้ซื้อหลักใน 72% ของครัวเรือนในประเทศ
ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงยังมีอัตราการจบการศึกษาระดับปริญญาตรีสูงกว่าผู้ชาย และยังเป็นผู้หารายได้หลักในเกือบ 30% ของครัวเรือนที่แต่งงานแล้ว และเกือบ 40% ของครัวเรือนทั้งหมดในสหรัฐฯ อีกด้วย
จากการศึกษาของ Morgan Stanley ชี้ให้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนว่า ผู้หญิงจำนวนมากขึ้นเลือกที่จะชะลอหรือหลีกเลี่ยงการแต่งงานและการมีลูก การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นการเบี่ยงเบนจากความคาดหวังของคนรุ่นก่อนที่มักแต่งงานตั้งแต่ช่วงอายุ 20 ต้น ๆ และมีลูกในเวลาไม่นานหลังจากนั้น
เบื้องหลังแนวโน้มนี้มีหลายปัจจัย ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงของค่านิยมทางสังคม ความต้องการมีอิสรภาพทางการเงิน และความมุ่งมั่นในการเติบโตด้านอาชีพ ปัจจุบันผู้หญิงให้ความสำคัญกับการสร้างเส้นทางอาชีพ การพัฒนาทักษะ และการวางรากฐานชีวิตที่มั่นคงก่อนจะตัดสินใจเรื่องการแต่งงานหรือการมีลูก ซึ่งผู้หญิงมองว่าข้อดีของการเป็นโสดมีดังนี้
ที่ผ่านมา แม้สังคมจะมีพัฒนาการทั้งในด้านมุมมองต่อผู้หญิงและแนวโน้มการทำงานของสาวโสด แต่บ่อยครั้งที่ผู้หญิงที่ยังโสดหรือไม่มีลูกยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน เช่น ช่องว่างระหว่างรายได้ โอกาสที่ไม่เท่าเทียม และอคติเกี่ยวกับความมุ่งมั่นต่อบทบาทครอบครัว
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้หญิงจำนวนมากขึ้นกำลังเข้าสู่ตลาดแรงงาน และบางกลุ่มก็ประสบความสำเร็จในสายอาชีพ จนหลายคนกลายเป็นผู้หารายได้หลักของครอบครัว ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจเรื่องการแต่งงานและการมีลูก
นอกจากนี้ ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยยังคงโสดไปจนถึงช่วงอายุ 30-40 ปี หรือแม้แต่ผู้ที่แต่งงานแล้วหลายคนก็เลือกที่จะหย่าร้างหรือไม่แต่งงานใหม่อีก ซึ่งแตกต่างจากคนรุ่นก่อนที่มักมองว่าการแต่งงานคือพันธะตลอดชีวิต
ในอดีตที่ผ่านมา เหตุผลที่ทำให้มีมุมมองว่าทำไมผู้หญิงที่แต่งงานถึงมีรายได้น้อยกว่า เป็นเพราะงานส่วนใหญ่ที่ทำนั้น เป็นงานที่ผู้หญิงไม่ได้รับค่าจ้าง และต้องอาศัยการเลี้ยงดูจากสามี แต่เมื่อเวลาผ่านไปแนวคิดนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว จากรายงานของ London School of Economics และ Sage Journal พบว่า ผู้หญิงโสดจะมีความสุขมากกว่า มีชีวิตที่ยาวนานขึ้น และสร้างเงินสร้างอาชีพได้มากขึ้น
นอกจากนี้ พลังของสาวโสด ยังถูกมองว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมในวงกว้างได้อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้หมายถึงการสนับสนุนให้ผู้หญิงเลือกที่จะอยู่เป็นโสดเพียงอย่างเดียว เพราะอย่าลืมว่าในอนาคตโลกของเรายังต้องพึ่งพาคนรุ่นใหม่ ๆ ที่จะเกิดมา แต่เราควรจะเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้เลือกด้วยตัวเองว่า ควรจะโสด ควรจะสร้างครอบครัว หรือควรจะมีลูกไหม
ที่มา: Morgan Stanley, Mentor's Pulse, Female Invest
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney