
บางพื้นที่น้ำท่วมจะลดลง แต่ความเสียหายยังรุนแรง สำหรับคนมีประกันภัยไม่ว่าจะบ้านหรือรถยนต์ ต้องเตรียมตัวอย่างไรเพื่อเคลมให้ได้ และหลังน้ำลดเราจะวางแผนชีวิตเพื่อแก้ปัญหาอื่นๆ ที่อาจตามมายังไง
สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ส่งผลกระทบในวงกว้าง นักวิเคราะห์คาดว่าความเสียหายจะสูงกว่า 25,000 ล้านบาท ตัวเลขว่าเยอะแล้วแต่ชีวิตคนในพื้นที่อาจกระทบมากกว่านั้นเพราะทรัพย์สินที่หามาทั้งบ้านและรถ ต่างพังเพราะมวลน้ำเหล่านี้
แม้ตอนนี้บางพื้นที่น้ำท่วมจะลดระดับลง แต่ความเสียหายยังพุ่งสูง และชีวิตคนยังต้องไปต่อ สำหรับคนมีประกันภัยไม่ว่าจะบ้านหรือรถยนต์ ต้องเตรียมตัวอย่างไรเพื่อเคลมให้ได้ และหลังน้ำลดเราจะวางแผนชีวิตเพื่อแก้ปัญหาอื่นๆ ที่อาจตามมาอย่างไร
1. ถึงจะมีประกันฯ แต่อาจไม่มีความคุ้มครองน้ำท่วม
ประกันภัย คือ สัญญาที่ระบุไว้แล้วว่าจะคุ้มครองกรณีไหนบ้าง ดังนั้นอย่างแรกต้องเช็กก่อนว่า กรมธรรม์ประกันภัยที่อยู่อาศัย (ประกันอัคคีภัย, ประกันภัยทรัพย์สิน) และประกันรถยนต์ที่เราถืออยู่นั้น “มี” ความคุ้มครองความเสียหายจากน้ำท่วมหรือไม่ ถ้าไม่มีก็เคลมประกันไม่ได้
ประกันบ้าน: ส่วนใหญ่ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย มักมีความคุ้มครองกรณีน้ำท่วมอยู่ในหัวข้อ ภัยธรรมชาติ (แผ่นดินไหว, ภูเขาไฟระเบิด, ลมพายุ ฯลฯ) ส่วนใหญ่ทุนเอาประกันภัยรวมทุกภัยมักไม่เกิน 20,000 บาท/ปีกรณีที่ไม่มีความคุ้มครองนี้สามารถซื้อเพิ่มเติมได้เช่นกัน ค่าเบี้ยประกันภัยขึ้นอยู่กับวงเงินความคุ้มครองนั่นเอง
ประกันรถยนต์: ประกันชั้น 1 หรือชื่อเต็มกรมธรรม์ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 1 มีความคุ้มครองภัยน้ำท่วมอยู่แล้ว สามารถติดต่อให้บริษัทประกันภัยจะช่วยประสานงานกับอู่ซ่อมรถให้ รถกลับมาใช้ได้สู่สภาพเดิม
ส่วนประกันรถชั้น 2+, 3+ เป็นกลุ่มที่ซื้อความคุ้มครองภัยน้ำท่วมไว้ก็สามารถเคลมได้ และถ้ามีประกันรถชั้น 2, 3 ส่วนใหญ่มักเป็นเงื่อนไขที่บริษัทประกันภัยประเมินความเสียหาย (ผ่านมาตรฐานกลางของ คปภ.) และจ่ายเป็นเงินก้อนให้ไปซ่อมกับอู่
ตอนนี้ปัญหาของการซ่อมรถหลังน้ำท่วมคือ อาจใช้เวลาซ่อมนานกว่าเดิม เพราะอู่ให้บริการซ่อมในพื้นที่อาจเจอพิษน้ำท่วม หากจะซ่อมต้องยกข้ามไปจังหวัดใกล้ๆ และต้องดูว่าคิวการซ่อมจะได้เมื่อไร ดังนั้นควรวางแผนและติดต่อบริษัทประกันภัยไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด
2. เคลมได้ แต่เงินจำกัดที่กี่บาท?
นอกจากมีความคุ้มครองภัยน้ำท่วมแล้ว เราต้องดูว่า คุ้มครองที่วงเงินเท่าไร เช่น ประกันภัยบ้านขั้นพื้นฐานมักมีวงเงินคุ้มครองภัยพิบัติรวม 20,000 - 30,000 บาทต่อปี ดังนั้นแม้ความเสียหายจริงจะสูงกว่านี้แต่มีวงเงินเท่าไรก็สามารถเคลมได้ตามเงื่อนไข ส่วนประกันภัยรถยนต์ มีมาตรฐานกลางในการประเมินค่าซ่อมรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วมจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) แบ่งเป็น 5 ระดับ คือ
3. "ขับฝ่า" น้ำท่วมจนเกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์
นี่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่คนขับรถควรทำความเข้าใจ เช่น แม้ประกันรถชั้น 1 จะคุ้มครองภัยน้ำท่วม แต่หากบริษัทประกันฯ สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ขับขี่ได้ จงใจขับรถลุยน้ำ ในระดับที่สูงเกินไปจนเกิดความเสียหายร้ายแรงต่อเครื่องยนต์ ก็อาจมีการคุ้มครองแบบมีเงื่อนไข หรือไม่จ่ายเคลม แต่จากกรณีน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ใต้นี้การให้เคลมได้หรือไม่นั้น อาจขึ้นอยู่กับการพิจารณาของทีมสินไหมในบริษัทประกันภัยทั้งนี้ ความคุ้มครองน้ำท่วมของรถยนต์จะคุ้มครองกรณี รถจอดอยู่กับที่ และไม่ติดเครื่อง เช่น จอดอยู่ในบ้านและหนีน้ำไม่ทัน
เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง ปัญหาที่อาจตามมาคือเรื่องเงินๆ ทองๆ ว่าเราจะหมุนเงินอย่างไรให้ทัน ในช่วงที่อาจออกไปหารายได้ไม่ได้ แต่ต้องใช้เงินซ่อมบ้าน และรถที่มีอยู่ Thairath Money อยากชวนมาโฟกัสใน 3 เรื่องหลัก เพื่อลดภาระและเริ่มการฟื้นฟูอย่างเข้มแข็ง
ภารกิจที่ 1 เคลียร์การเคลม - ยื่นหลักฐานให้ครบและถูกต้อง
ถ้าหากเช็กแล้วว่าประกันภัยที่มีอยู่ มีความคุ้มครองภัยน้ำท่วม เราต้องเตรียมเอกสาร ถ่ายรูปความเสียหายที่เกิดขึ้น (แนะนำว่าทั้งระหว่างที่เกิดน้ำท่วม และหลังน้ำลด) ติดต่อไปที่บริษัทประกันภัยเพื่อประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่าเพิ่งดำเนินการซ่อมแซมเรื่องใหญ่ๆ
ภารกิจที่ 2: มีหนี้ต้องพร้อมเคลียร์
หลายคนมีหนี้กับสถาบันการเงิน อาจรีบติดต่อไปที่ธนาคารเพื่อขอความช่วยเหลือ เช่น มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ อย่าง การพักชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ หรือการขอสินเชื่อฉุกเฉินดอกเบี้ยต่ำสำหรับการซ่อมแซม แต่หากมีเจ้าหนี้ที่ขอยืมเงินมา เราอาจติดต่อเพื่อแจ้งให้ทราบว่า กำลังในการจ่ายของเราไหวแค่ไหน และเรากำลังเจอกับสถานการณ์แบบไหน ที่สำคัญคือไม่ควรพักจ่ายหนี้เองเพราะอาจมีปัญหาอื่นๆ ตามมาทีหลัง
ภารกิจที่ 3: เคลียร์สภาพคล่อง – ประเมินกองทุนฉุกเฉินใหม่
หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่นี้อาจทำให้เราประเมินได้ว่า ค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน, ความคุ้มครอง, เงินสดที่เราเตรียมไว้ เพียงพอหรือไม่ ถ้าเรายังอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยก็อาจต้องทบทวน และปรับแผนเพื่อรับมือหากเกิดภัยครั้งใหญ่ขึ้นอีก เช่น เดิม เราประเมินว่ามีค่าใช้จ่าย 20,000 บาทต่อเดือน สำรองไว้เพียง 6 เดือนหรือ 120,000 บาทก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อเกิดภัยนี้ขึ้นเราอาจกลับไปทำงานได้ช้าลง อาจต้องเตรียมเงินสำรองเป็น 12 เดือน หรือ 240,000 บาท เป็นต้น
ที่มา คปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทย, สคบ.
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney