
ประกันชีวิตลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท (รวมประกันสุขภาพของตนเอง)
มาถึงช่วงปลายปีที่หลายคนมีแผนจะซื้อประกันฯ เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ยังสับสนว่ามีแบบประกันไหนบ้าง ถ้าซื้อทับซ้อนกันจะลดหย่อนฯ ได้ไม่เต็มสิทธิหรือเปล่า Thairath Money เลยสรุปเทคนิคซื้อยังไงให้ไม่ซ้ำซ้อน คุ้มค่าทุกบาท
ประกันภัยเป็นตัวช่วยในการบริหารความเสี่ยงในชีวิต ดังนั้นต้องเริ่มที่ “ความต้องการ” ของตัวเราก่อนว่าอยากจะลดความเสี่ยงจุดไหน หรือกังวลเรื่องอะไร หรือมีแบบประกันไหนแล้วบ้าง จากนั้นมาเลือกกันว่า “ซื้อประกันฯ” อะไรดี
ตัวอย่างเช่น น.ส. รวยยัง อายุ 29 ปี เป็นลูกคนเดียว ทำงานอยู่บริษัทเอกชน มีเงินฉุกเฉินและเงินออมอยู่ก้อนหนึ่ง รวยยังคิดว่า 1) ตอนนี้ยังทำงานได้สบายๆ มีรายได้ทุกเดือน แต่ถ้าวันหนึ่งเกิดป่วยหนักขึ้นมาเงินที่ออมมาทั้งชีวิตจะพอจ่ายค่ารักษาพยาบาลไหม 2) รวยยัง มีพ่อกับแม่ที่ตอนนี้ทำงานอยู่ แต่ก็ใกล้เกษียณแล้ว ก็อยากเริ่มต้นวางแผนจะดูแลค่าใช้จ่ายประจำวันให้พ่อแม่หลังอายุ 60 ปี รวมถึงคิดถึงเงินที่ตัวเองต้องใช้หลังเกษียณด้วย และ 3) เงินได้สุทธิ (รายได้ - ลดหย่อนภาษีพื้นฐานฯ) ถึงเกณฑ์ต้องเสียพอดี
จากตัวอย่างนี้เราจะเห็นว่า เป้าหมายของ รวยยัง คือ ด้านสุขภาพ และ มีเงินออมไว้สำหรับพ่อแม่รวมถึงตัวเองไว้ใช้หลังเกษียณ เลยอาจจะซื้อประกันสุขภาพ ประกันชีวิต และประกันบำนาญ แต่!!! ถึงจะอยากซื้อเยอะแค่ไหนก็ต้องดูกำลังของตัวเองให้ดี ว่าถ้าต้องจ่ายเบี้ยประกันฯ นาน 5, 10, 20 ปี เราไหวแค่ไหน โดยเฉพาะประกันสุขภาพที่จะปรับขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น เราต้องดูช่วงท้ายๆ ด้วยว่าต้องจ่ายปีละเท่าไร
ถ้าตัดสินใจกันได้แล้วว่าอยากซื้อประกันแบบไหนบ้าง ก็มาคิดกันต่อว่า จะซื้อยังไงให้ลดหย่อนภาษีฯ ได้คุ้มค่า
Thairath Money อยากชวนมาเจาะลึกว่า ประกันภัยแต่ละแบบที่ลดหย่อนภาษีฯ ได้นั้นมีเงื่อนไขสำคัญอะไรที่เราต้องรู้บ้าง
1. "ประกันชีวิต" ลดหย่อนภาษีฯ สูงสุด 100,000 บาท (รวมประกันสุขภาพของตนเองด้วย)
เน้นความคุ้มครองชีวิตก่อน: ประกันชีวิตที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป จะใช้ลดหย่อนภาษีฯ ได้สูงสุด 100,000 บาท ตามที่จ่ายจริง เช่น ถ้าจ่ายเบี้ยส่วนประกันชีวิตอยู่ที่ 10,000 บาทจะนำไปลดหย่อนฯ ได้ 10,000 บาทเท่านั้น แต่ถ้าซื้อเบี้ยประกันชีวิต 120,000 บาทจะลดหย่อนได้เพียง 100,000 บาท
แต่! ใครที่ซื้อประกันสุขภาพไว้: สามารถลดหย่อนภาษีฯ ได้เช่นกันสูงสุด 25,000 บาท โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้ว ต้องไม่เกิน 100,000 บาท เช่น ปีนี้ซื้อประกันสุขภาพ 25,000 บาท เบี้ยประกันชีวิตส่วนที่สามารถลดหย่อนได้จะเหลือ 75,000 บาท
2. ดูแล "สุขภาพพ่อแม่" ลดหย่อนภาษีฯ สูงสุด 15,000 บาท
แยกส่วนลดหย่อนชัดเจน: เบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดาสามารถลดหย่อนฯ เพิ่มได้อีก วงเงินสูงสุด 15,000 บาท ต่อปี แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือ พ่อ/แม่ ต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราซื้อประกันชีวิตและสุขภาพส่วนตัวไปแล้ว 100,000 บาท ถ้าซื้อประกันสุขภาพให้พ่อหรือแม่ เบี้ยส่วนนี้จะนำไปลดหย่อนภาษีฯ เพิ่มเติมได้
3. วางแผน "บำนาญ" ซื้อแล้วลดหย่อนภาษีฯ สูงสุด 200,000 บาท
ส่วนเพิ่มเพื่อเกษียณ: หากใช้สิทธิลดหย่อน 100,000 บาทแรกเต็มแล้ว และต้องการลดหย่อนเพิ่มเติมเพื่อวางแผนหลังเกษียณ ประกันชีวิตแบบบำนาญคือคำตอบ เพราะสามารถลดหย่อนได้สูงสุด 200,000 บาท
แต่! ถ้าปีนี้เราซื้อประกันชีวิตทั่วไปไม่ถึง 100,000 บาทแรก เบี้ยประกันบำนาญที่เราซื้อจะถูกนับเป็นส่วนประกันชีวิตทั่วไปก่อน
แต่มีเงื่อนไขสำคัญที่เราต้องรู้เพื่อป้องกันการซื้อซ้ำ: เมื่อเราซื้อประกันบำนาญ ต้องนำวงเงินไปรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท ในปีภาษีเดียวกัน เช่น
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ RMF
- กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ (กบข.)
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)
- กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งคนที่มีประกันสังคมแล้วจะออมส่วนนี้ไม่ได้
ใครที่อยากซื้อประกันลดหย่อนภาษีน่าจะได้ไอเดียและแผนการคร่าวๆ ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้ออะไรดี แต่สุดท้ายเราควรเน้นที่เป้าหมายชีวิตว่าอยากจะบริหารความเสี่ยงด้านไหน มากกว่าเน้นว่าจะลดหย่อนภาษีได้เท่าไรเพียงอย่างเดียว
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney