
ชวนรู้จัก “จุดคุ้มทุนทางบัญชี” เปรียบเทียบดอกเบี้ยหนี้กับผลตอบแทนลงทุน พร้อมจัดลำดับหนี้ดอกเบี้ยสูง-ต่ำ เพื่อเลือกทางที่คุ้มค่าและเหมาะกับสุขภาพการเงินที่สุด
ทุกช่วงปลายปีที่เงินก้อนพิเศษอย่างโบนัสถูกโอนเข้าบัญชี คนทำงานจำนวนมากมักเผชิญกับคำถามโลกแตกเดิมๆ ว่า จะเอาเงินนี้ไปต่อยอดการลงทุน หรือเอาไปโปะหนี้ให้หมดดี
หลายคนเลือกใช้ความรู้สึกหรือความสบายใจเป็นที่ตั้ง แต่ในเชิงการเงินคำตอบของเรื่องนี้ไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัวเพียงหนึ่งเดียว แต่มีหลักการคิดที่เป็นเหตุเป็นผล โดยใช้ “จุดคุ้มทุนทางบัญชี” เปรียบเทียบระหว่างดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่าย กับกำไรที่คาดว่าจะได้รับมาเป็นตัวตัดสิน
“จุดคุ้มทุนทางบัญชี” คือเกณฑ์การวัดผลแบบตรงไปตรงมาโดยดูที่ตัวเงินรับและจ่ายจริง ในบริบทของการจัดการเงินก้อนพิเศษ มันคือจุดที่ "ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้จากการโปะหนี้" มีค่าเท่ากับ "ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน" พอดี
ดังนั้น เมื่อตัดความรู้สึกออกไปว่าจ่ายเงินไปกับอะไรจะคุ้มกว่ากัน แก่นแท้ของการตัดสินใจเรื่องนี้คือการเปรียบเทียบตัวเลข 2 ตัว ได้แก่ ผลตอบแทนจากการลงทุน และ ต้นทุนดอกเบี้ยของหนี้
ซึ่ง “การปิดหนี้” จะการสร้างผลตอบแทนที่แน่นอนในอัตราเท่ากับดอกเบี้ยที่คุณไม่ต้องจ่ายให้ธนาคาร แต่การลงทุนนั้น เป็นการคาดหวังผลตอบแทนที่ไม่แน่นอน ซึ่งแม้จะมีโอกาสได้กำไรสูงกว่า แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่เงินต้นอาจลดลงได้
สมการในการตัดสินใจเรื่องนี้ อยู่ที่จุดตัดของการนำ “ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย” มาวัดพลังกับ “ผลตอบแทนสุทธิจากการลงทุน” ดังนี้
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจด้วยจุดคุ้มทุนทางบัญชีเพียงอย่างเดียว อาจเป็นกับดักที่ทำให้เรามองข้ามปัจจัยสำคัญเรื่อง "ความเสี่ยง" ได้ เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นมีความไม่แน่นอนและเงินต้นอาจลดลงได้
กัญญา ศิริวราดร จากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เผยแพร่บทความผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Investnow) โดยระบุว่า การพิจารณาว่าจะนำเงินไปโปะหนี้หรือลงทุน อันดับแรกต้องดูที่สุขภาพทางการเงินของตนเองก่อน เช่น มีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินเพียงพอแล้วหรือไม่ จากนั้นจึงพิจารณาข้อดีและข้อเสียของแต่ละทางเลือกเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
หากหนี้ที่มีคิดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก และมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินกว่าที่จะหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่มากกว่าได้ สิ่งที่ควรทำคือนำเงินก้อนไปโปะหนี้ก่อน แต่หากมั่นใจว่าสามารถลงทุนแล้วได้รับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ก็ควรจะนำเงินก้อนนั้นไปลงทุน
และเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนและมีข้อมูลในการตัดสินใจมากขึ้น เราจำเป็นต้องรู้จักการจัดประเภทหนี้ด้วย เพราะหนี้แต่ละก้อนมี “ต้นทุน” ไม่เท่ากัน
ซึ่งธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้จัดประเภทหนี้ แบ่งตามระดับความเร่งด่วน เพื่อให้เราสามารถจัดลำดับความสำคัญ และวางแผนจัดการหนี้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีคำแนะนำ ดังนี้
1.หนี้ดอกเบี้ยสูง (สีแดง) เช่น หนี้บัตรเครดิต, สินเชื่อส่วนบุคคล, บัตรกดเงินสด แนะนำว่า หนี้ประเภทนี้มักเป็นหนี้ระยะสั้น ไม่เกิน 5 ปี แต่ถ้าไม่จ่ายโดนปรับดอกเบี้ย 16% ดังนั้น ควรไปปิดหนี้ก้อนนี้ก่อน
2.หนี้ดอกเบี้ยปานกลาง (สีเหลือง) เช่น สินเชื่อเพื่อการศึกษา, สินเชื่อธุรกิจ แนะนำว่า หนี้ประเภทนี้มักเป็นหนี้ระยะกลาง การไปโปะหนี้ก้อนนี้จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้ ทำให้เรามีเงินเหลือในแต่ละเดือนไปทำอย่างอื่นมากขึ้น
3.หนี้ดอกเบี้ยต่ำ (สีเขียว) เช่น สินเชื่อบ้านแลกเงิน ซึ่งหนี้ประเภทนี้มีดอกเบี้ยต่ำ และระยะผ่อนยาว สูงสุด 30 ปี เราสามารถนำเงินก้อนไปโปะหนี้อื่นเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง หากมีเงินเหลือค่อยแบ่งมาลงทุนเพิ่ม
จะเห็นว่าหากคุณมีหนี้อยู่ในโซนสีเขียว เช่น หนี้บ้าน ซึ่งมีดอกเบี้ยต่ำ และระยะเวลาผ่อนยาว คุณอาจจะแบ่งเงินบางส่วนไปโปะหนี้อื่นเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และนำเงินส่วนที่เหลือไปลงทุนต่อยอดได้
แต่ถ้าหนี้ของคุณอยู่ในโซนสีแดงหรือสีเหลือง คุณควรรีบจัดการหนี้เหล่านี้ก่อน เพราะเป็นหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง การปิดหนี้ให้หมดจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายรายเดือน และทำให้คุณพร้อมลงทุนได้อย่างมั่นใจมากขึ้นในอนาคต
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney