
รู้จัก Investment Policy Statement หรือ IPS ตัวช่วยกำหนดกรอบและแผนการลงทุนให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน บาลานซ์พอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับจังหวะชีวิตได้อย่างแท้จริง
ในโลกที่เงินเฟ้อกัดกินมูลค่าเงินในกระเป๋าเราอยู่ทุกวินาที วลีที่ว่า "การไม่ลงทุนคือความเสี่ยงที่สุด" นั้น เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะการเก็บเงินสดไว้เฉยๆ ย่อมทำให้เราจนลงในระยะยาว ในทางกลับกัน การกระโดดเข้าสู่สนามการลงทุนโดยปราศจากความรู้ ก็อาจนำมาซึ่งการขาดทุนจนเสียศูนย์ได้เช่นกัน
การจะสร้างสมดุลนี้ได้จำเป็นต้องมีแผนที่นำทางที่ชัดเจน หรือในภาษาทางการเงินเรียกว่า Investment Policy Statement (IPS) ซึ่งเปรียบเหมือนหลักการและแผนจัดการที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินของเรา
การเขียน IPS ไม่ใช่เรื่องของกองทุนหรือเศรษฐีเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือสามัญประจำบ้านที่ช่วยดึงสติเราไม่ให้ใช้อารมณ์นำเหตุผล และช่วยให้เราบาลานซ์พอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับจังหวะชีวิตได้อย่างแท้จริง
อภิเชษฐ เอกวัฒนพันธ์ ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM ระบุไว้ในบทความ “ลงทุนไม่หลงทางด้วย Investment Policy Statement” ผ่านสมาคมนักวางแผนการเงินไทยว่า หากต้องการให้เงินออม เงินลงทุน ไปถึงเป้าหมายตามที่ต้องการแล้ว การสร้างแผนการลงทุนที่เหมาะสมก็นับว่าเป็นอีกส่วนประกอบหนึ่ง
ซึ่งโดยมากการลงทุนให้ถึงเป้าหมายทางการเงินมักจะใช้เวลาที่ค่อนข้างมาก และถึงแม้ว่าจะตั้งเป้าหมายการลงทุนไว้ ทำการประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงไว้ จัดสรรเงินลงทุน กำหนดกลยุทธ์การลงทุนเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว
แต่หากไม่มีการบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ตามที่กล่าวมา มักจะหลงลืมข้อมูลเหล่านี้ไป และมักกระตุ้นให้ตัดสินใจลงทุนด้วยอารมณ์ และจะเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
นอกจากนี้ อภิเชษฐ ยังแนะนำกระบวนการที่นักลงทุนควรทำร่วมกับนักวางแผนการเงิน หรือทำด้วยตนเองเพื่อสร้าง IPS ที่ดี ประกอบด้วย 4 หัวข้อหลักที่ต้องถามตัวเอง ดังนี้
1. กำหนดเป้าหมายของการลงทุน - ขั้นตอนนี้คือการปักธงให้ชัดเจนว่า "เรากำลังจะทำอะไร เพื่ออะไร" เพื่อให้ทิศทางไม่แกว่ง ประกอบด้วย
จุดประสงค์การลงทุน ระบุให้ชัดว่าเงินก้อนนี้เพื่ออะไร เช่น เพื่อเกษียณ
ระยะเวลาของเป้าหมาย ระบุเวลาที่เหลือในการเก็บเงิน
ผลตอบแทนที่คาดหวัง ตัวเลขเป้าหมายที่ต้องการ โดยต้องไม่ลืมคำนวณ "เงินเฟ้อ" ที่จะทำให้ข้าวของแพงขึ้นในอนาคตด้วย
ความเสี่ยงที่สามารถรับได้ ควรประเมินความเสี่ยงด้วย Suitability Test ถ้ารับความเสี่ยงได้สูงก็มีโอกาสกำไรมากแต่ก็ขาดทุนหนักได้เช่นกัน
2. ระบุข้อจำกัด - ขั้นตอนนี้คือการสำรวจเงื่อนไขชีวิตที่จะเป็นกรอบบังคับการลงทุนของเรา
ความต้องการด้านสภาพคล่อง ถามตัวเองว่าระหว่างทางต้องกาเงินปันผลหรือไม่ หรือลงทุนยาวๆ ได้เลย
ประเภทสินทรัพย์ลงทุน ระบุขอบเขตที่เราสนใจ เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ หุ้นกู้ต่างประเทศ หุ้นสามัญ ทองคำ
3. กลยุทธ์ด้านการลงทุน ขั้นตอนนี้คือการวางแผนการรบ ว่าจะจัดทัพอย่างไรให้ไปถึงเป้าหมาย
กลยุทธ์การลงทุน เลือกสไตล์การเล่น จะเป็น Passive แบบเกาะไปกับตลาด หรือ Active เน้นหาผลตอบแทนเพื่อชนะตลาด
การจัดสรรเงินลงทุน แบ่งเงินเป็น เงินลงทุนระยะยาวที่ตั้งใจถือยาวๆ และเงินลงทุนระยะสั้น ที่ปรับเปลี่ยนชั่วคราวตามจังหวะตลาดเพื่อทำกำไรเพิ่ม
วิธีการปรับสัดส่วน กำหนดกรอบว่าเราจะมีจะปรับพอร์ตอย่างไรหรือไม่
เกณฑ์การคัดเลือกสินทรัพย์ กำหนดสเปกของหุ้นหรือกองทุนที่จะซื้อ เช่น ต้องเป็นหุ้นเติบโต หรือเป็นหุ้นรายอุตสาหกรรม เป็นต้น
วิธีการลงทุน กำหนดว่าเราจะลงทุนก้อนเดียวไปเลย หรือทยอยลงเท่ากันทุกเดือน (DCA)
4. การติดตามและประเมินผล - ขั้นตอนนี้คือการตรวจสุขภาพพอร์ต เพื่อดูว่ายังอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่
ความถี่ กำหนดว่าจะเข้ามาดูพอร์ตบ่อยแค่ไหน
เกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) หาคู่เทียบวัดผลงาน เช่น ถ้าลงทุนหุ้นไทย ผลตอบแทนเราก็ควรเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นไทย
เกณฑ์ในการประเมินผล เช่นการตั้งเป้าว่ากำไรต้องชนะหุ้นผลตอบแทนหุ้นไทย
การปรับปรุงพอร์ต (Rebalance) กฎเหล็กในการจัดระเบียบ เมื่อสัดส่วนบางสินทรัพย์ต่างไปจากแผน เช่น หุ้นขึ้นเยอะเกินไป ก็ควรขายออกมาบ้าง
เกณฑ์ในการซื้อขาย เช่น ขายสินทรัพย์ส่วนที่เกินออกไป หรือซื้อสินทรัพย์อื่นเพิ่มเติมเพื่อให้สัดส่วนการลงทุนคงที่ หรือทั้ง 2 วิธีข้างต้น
นอกจาก IPS จะเป็นตัวช่วยให้การวางแผนการลงทุนไม่ไข้วเขวไปจากเดิมแล้ว ยังช่วยแจ้งผู้ดูแลการลงทุนของนักลงทุนให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่เหมาะสม และช่วยเป็นแนวทางประเมินและติดตามคุณภาพของพอร์ตลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา : สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney