
“เก็งกำไร” คำนี้ฟังดูง่ายแต่ไม่เคยง่ายเลย ล่าสุดเกิดข้อถกเถียงบนโซเชียล หลังจากมีคนโพสต์ถึงการลงทุนครั้งใหญ่ในชีวิตมูลค่ากว่า 850,000 บาท ผ่านการเก็งกำไรบัตรคอนเสิร์ตกว่า 300 ใบ ต้นทุนใบละกว่า 2,600 บาท ซึ่งเขาเล่าว่าตอนแรกกะจะเก็งกำไร 50 - 100 บาทต่อใบ เพราะเชื่อว่าบัตรในงานจะออกสู่ตลาดมาไม่มากนัก ถ้าไม่ซื้อตอนนี้อาจไม่ได้กำไรอย่างที่หวัง!
แต่พอถึงวันงานจริง บัตรคอนฯ กลับออกมาล้นตลาด จนเขาต้องตัดใจขายขาดทุนจากใบละ 2,600 บาท เหลือ 200 บาทก็ยังขายไม่หมด ที่เศร้ากว่าคือเงินลงทุนก้อนนี้มาจากการจำนำทอง และของที่มีอยู่ หลายคนอาจเห็นเคสแบบนี้มาบ่อยครั้ง หรือเทรนด์อะไรที่ฟีเวอร์ขึ้นมา การไขว่คว้าโอกาสเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต แต่เราจะรับมือหรือวางแผนอย่างไรให้การลงทุนครั้งใหญ่ไม่กระทบชีวิต
ขาดทุนเพราะเก็งกำไรบัตรคอนฯ กลายเป็นกรณีศึกษาที่เราควรสนใจ เพราะจุดเริ่มต้นมาจากข้อมูลในปีก่อนที่เชื่อว่า บัตรมีน้อย หรือ Supply น้อยกว่าความต้องการ เมื่อเห็นโอกาสเข้ามา เลยรีบกวาดซื้อบัตรคอนฯ เก็บไว้ก่อน
นี่ล่ะ ปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิด FOMO (Fear of Missing Out) หรืออาการกลัวที่จะพลาดโอกาสในการทำกำไรก้อนโต
ที่ผ่านมามีบทเรียนคล้ายๆ กันเกิดขึ้นเพียบ เช่น ราคาที่ผันผวนแรงของคริปโตเคอร์เรนซี เหรียญ Meme ต่างๆ ไปจนถึงการปั่นราคาหุ้นขนาดเล็ก ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากที่เราได้ยินข่าวลือว่า เหรียญ/หุ้น นี้กำลังจะขึ้นต้องรีบโกยซื้อไว้ก่อน โดยที่เราไม่หาข้อมูลอย่างรอบด้าน ก็เสี่ยงจะเจ็บได้เหมือนกัน
สถานการณ์ขาดทุนไม่ว่าจะบัตรคอนฯ เหรียญคริปโตฯ หรือหุ้น บางครั้งก็เกิดจากอุปทาน (Supply) มากกว่าอุปสงค์ (Demand) อย่างมหาศาล ก็เสี่ยงที่ราคาจะดิ่งลงรุนแรง และทำให้จาก ของที่เคยมีมูลค่า … อาจกลายติดลบได้
จากกรณีนี้ การทุ่มจำนำทอง เอารถที่ใช้อยู่ไปกู้เงินมาลงทุนครั้งใหญ่ อาจทำให้ชีวิตเรายากลำบากขึ้นถ้าการลงทุนครั้งนี้ไม่ “สำเร็จ”
แต่ทุกโอกาสมาพร้อมกับความเสี่ยงเสมอ ดังนั้น ก่อนจะลงทุน นอกจากต้องศึกษาอย่างเจาะลึก ว่าสิ่งที่กำลังจะจ่ายไปคุ้มแค่ไหน เราจะได้กำไรจากอะไรบ้าง ที่สำคัญกว่าคือ การวางแผนเรื่องเงินและชีวิต ก่อนจะลงทุนอาจช่วยให้เราไม่เหนื่อยเกินไป
1. เงินทุนก็เงินเรา วางแผนก่อนควักกระเป๋า
เงินฉุกเฉินมาก่อน: เริ่มสร้าง "กองทุนสำรองฉุกเฉิน" (Emergency Fund) ให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย 6-12 เดือนแรก ไว้สำหรับเรื่องไม่คาดคิด หรือจำเป็นจริงๆ เรียกว่าเกิดเจ็บป่วย อุบัติเหตุ ฯลฯ เราก็สบายใจว่ามีเงินพร้อมหมุน ดังนั้นเงินส่วนนี้ต้องไม่ถูกนำมาลงทุนเสี่ยงสูงเด็ดขาด และถอนได้เงินไว เช่น บางคนอาจเก็บในบัญชีออมทรัพย์ เป็นต้น
ใช้เงินเย็นลงทุน: ใช้เงินก้อนที่มั่นใจว่า "ถ้าหายไปจะไม่กระทบต่อการดำรงชีวิต" มาลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ถ้าเราจะจำนองบ้าน หรือเอารถไปเข้าไฟแนนซ์ เพื่อนำเงินมาลงทุนเสี่ยงๆ ก็เหมือนปัจจัยพื้นฐานในชีวิตเราก็เสี่ยงไปด้วย
2. กระจายความเสี่ยง ให้มีทางออกหลายๆ ทาง
เมื่อจะลงทุนก้อนใหญ่ เรายิ่งต้องคิดว่า “พอร์ตชีวิต” หรือเงินในกระเป๋าเราได้กระจายความเสี่ยงหรือยัง เช่น อยากลงทุนเสี่ยงสูงที่ 8 แสน แต่เรามีเงินอยู่ 5 ล้านบาท จนเลือกไปกู้มาลงทุน นี่ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะทางการเงินและชีวิตส่วนตัว
เบื้องต้น ถ้าเราอยากลงทุนเสี่ยงสูงอาจแบ่งสัดส่วน 5-20% จากเงินเย็นๆ ที่เรามีอยู่ ไปลงทุนได้เพื่อจำกัดความเสียหายหากเกิดวิกฤต (แต่ถ้าใครพร้อมเสี่ยงเต็ม Max มีเงินเย็นเท่าไรก็จัดได้เลย ตามที่รับความเสี่ยงไหว)
3. คิดถึงตอน “ขาดทุน” ก่อน
เมื่อต้องลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่ อาจต้องคิดให้ดีว่า จุดไหนที่ต้องตัดขาดทุน (Stop Loss) และหาทางออกรูปแบบอื่นๆ ไว้ก่อน ยิ่งสำหรับการลงทุนในหุ้น หรือ ของที่อาจหมดอายุ ยิ่งต้องวางแผนให้ชัดเจนว่า ถ้าถึงจุดไหนยังมีของอยู่ในมือเยอะ แต่ราคาไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ เราจะหั่น/ลดราคาหรือทำโปรโมชัน แบบไหน ก่อนราคาของจะร่วงลง
บทเรียนครั้งนี้อาจเป็นเครื่องเตือนใจว่า "การลงทุน รอลุ้นอย่างเดียวไม่ได้" แต่ต้องวางแผนการเงินให้รอบด้าน เพื่อรับมือทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปทางไหน เราจะกลับมาเริ่มต้นใหม่ ยืนได้อย่างมั่นคง และใช้ชีวิตแบบที่ต้องการได้เสมอ
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney