
ปี 2568 นับเป็นปีที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับคนทำงานและองค์กรในประเทศไทย เมื่อแรงกดดันจากทั้งภายนอกและภายในได้บีบให้การปรับขึ้นเงินเดือนในภาพรวมต้องลดลงอย่างน่าจับตา
ผลสำรวจล่าสุดจากดีลอยท์ ประเทศไทย เผยว่า อัตราการปรับขึ้นเงินเดือนที่คาดการณ์ไว้สำหรับปี 2568 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5% เท่านั้น ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่เคยอยู่ที่ 5% อย่างชัดเจน ตัวเลขที่ลดลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถิติ แต่เป็นสัญญาณเตือนถึง "การบริหารจัดการอย่างระมัดระวัง" ที่องค์กรไทยกำลังเผชิญหน้า
องค์กรชั้นนำในไทยกว่า 176 แห่งที่ร่วมตอบแบบสำรวจกำลังเผชิญกับสภาพที่เปรียบได้กับ "เครื่องบีบคั้น" ที่มาจากสองด้านพร้อมกัน ได้แก่ ...
1. ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยให้เหตุผลว่า แม้บางองค์กรจะบรรลุเป้าหมาย แต่ 35% ก็ยอมรับว่าการเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ยังมาจากแรงกดดันด้านต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้องค์กรถึง 57% ต้องประกาศ ลดหรือวางแผนที่จะลดงบประมาณค่าตอบแทนและสวัสดิการโดยรวม
2. คลื่นยักษ์ AI และเทคโนโลยี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นหัวใจสำคัญของความสามารถในการแข่งขันในอนาคต ทำให้องค์กรต้องตัดสินใจอย่างยากลำบาก ว่าจะลงทุนใน AI หรือจะจ่ายค่าตอบแทนที่สูงขึ้นให้กับพนักงาน?
ขณะที่ภาพรวมการปรับขึ้นเงินเดือนที่ 4.5% นั้น ซ่อนความเหลื่อมล้ำที่น่าสนใจไว้ภายใน
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่คนทำงานต้องทำความเข้าใจคือ AI กำลังเปลี่ยนสมการค่าตอบแทน ในประเด็นนี้ “อริยะ ฝึกฝน” ผู้นำด้านเทคโนโลยีและการปฏิรูปองค์กร ดีลอยท์ ประเทศไทย อธิบายชัดเจนว่า AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่ผู้คน แต่กำลังเปลี่ยนคุณค่าของทักษะในตลาดแรงงาน
องค์กรกำลังเปลี่ยนจากการจ่าย "ค่าตอบแทนตามระดับงาน" (Pay for Job) ไปสู่การให้ "ผลตอบแทนตามทักษะ" (Pay for Skills) การบูรณาการ AI และเทคโนโลยีจึงกลายเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดที่องค์กรพร้อมจะลงทุนให้
ข้อมูลยืนยันว่า กว่า 55% ขององค์กรเลือกที่จะเสนอค่าตอบแทนที่สูงกว่าตลาดสำหรับ "ตำแหน่งที่มีผลกระทบทางธุรกิจสูง" แม้จะมีข้อจำกัดด้านงบประมาณโดยรวมก็ตาม
เมื่อรายได้ไม่แน่นอน การพึ่งพิงการขึ้นเงินเดือนหรือโบนัสแบบเดิม ๆ จึงมีความเสี่ยงสูง คนทำงานจึงต้องปรับกลยุทธ์การเงินพื้นฐานเพื่อสร้างความมั่นคงให้ตัวเอง ด้วยเช่นกัน
1. ปรับความคิด เงินเดือนคือ "รายได้คงที่" ส่วนโบนัสคือ "เงินแถม"
เนื่องจากโบนัสมีแนวโน้มที่จะทรงตัวหรือลดลงในหลายอุตสาหกรรม (เฉลี่ยประมาณ 2 เดือน) อย่าใช้โบนัสมาคำนวณเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายรายเดือนของเราอย่างเด็ดขาด แต่ให้วางแผนการเงินโดยคำนึงถึงเฉพาะเงินเดือนสุทธิ หากมีโบนัส ถือเป็นเงินพิเศษที่ควรนำไปเก็บออมหรือลงทุนเท่านั้น
2. สร้าง "กระเป๋าฉุกเฉิน" ให้หนาขึ้น
อัตราการปรับขึ้นเงินเดือนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยและแรงกดดันทางเศรษฐกิจหมายถึงโอกาสในการเกิดความไม่แน่นอนในอาชีพมีสูงขึ้น สิ่งที่ทำได้คือการเพิ่มเงินสำรองฉุกเฉินให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 6 เดือน (หรือมากกว่านั้น หากเราอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการลาออกสูงอย่างค้าปลีก) การมีเงินสำรองจะช่วยให้เรามีเวลาเลือกงานใหม่หรือพัฒนาทักษะได้โดยไม่ถูกบีบจากภาระหนี้สิน
3. ลงทุนใน "ทักษะ" คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด
ในยุคที่องค์กรยอมจ่ายสูงกว่าตลาดให้กับพนักงานที่มีทักษะเฉพาะทาง โดยเฉพาะด้าน AI และเทคโนโลยี การพัฒนาทักษะคือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในระยะยาว
การจัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งเพื่อการเรียนรู้และฝึกอบรมทักษะที่ตลาดต้องการ เป็นสิ่งจำเป็น และที่สำคัญกว่านั้น เปลี่ยนทักษะใหม่ให้กลายเป็นผลงานที่จับต้องได้ เพื่อให้คุณสามารถยกระดับตัวเองไปสู่ ตำแหน่งที่มีผลกระทบสูง ซึ่งเป็นที่ต้องการขององค์กร แม้ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
สุดท้าย การปรับตัวในวันนี้คือการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว องค์กรที่เน้นการพัฒนาอาชีพ (61%) และการเลื่อนตำแหน่งพิเศษ (65%) เป็นเครื่องมือในการรักษาคนเก่ง ย้ำว่าการพัฒนาตัวเองคือทางรอดที่แท้จริง
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https:// www.facebook.com/ThairathMoney