
เข้าสู่โค้งสุดท้ายสำหรับเทศกาลลดหย่อนภาษีแล้ว นักลงทุนจำนวนมากกำลังมองหากองทุน Thai ESG และ RMF เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเต็มที่ ทว่าความท้าทายในปีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเส้นตาย แต่คือการตัดสินใจท่ามกลางตัวเลือกกองทุนที่หลากหลายและซับซ้อน
ต้องบอกว่าการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี มันไม่ใช่แค่เรื่องของ "ภาษี" แต่คือ "อนาคต" ที่จำเป็นต้องวางแผนทางการเงินให้ดี และปัจจุบันกองทุนลดหย่อนภาษีมีออกมาให้เลือกเยอะมาก หลากหลายรูปแบบ ทำให้คำถามที่ยากที่สุดในทุกปีก็ยังคงเป็น “แล้วจะเลือกกองไหนดี”
ล่าสุด บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เผยหลักการเลือกกองทุนลดหย่อนภาษีที่ถูกต้อง เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารจัดการภาษีและสร้างพอร์ตการลงทุนไปได้พร้อมกัน รวมถึงเปิดลิสต์กองทุนเด่นครอบคลุมทุกสไตล์การลงทุน
กฤช โคมิน, CFA. Head of Wealth Product & Investment Strategy บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กองทุนลดหย่อนภาษีมีออกมาให้เลือกเยอะมาก หลากหลายรูปแบบ ทั้งกองทุนตราสารหนี้ กองทุนผสม กองทุนหุ้น ทั้งในและต่างประเทศ แต่คำถามที่ยากที่สุดในทุกปีก็ยังเหมือนเดิม นั่นคือ “แล้วจะเลือกกองไหนดี” หลายคนจะโฟกัสที่ผลตอบแทนย้อนหลังอันดับแรก ซึ่งไม่ผิด
แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ กองทุนนั้น “เหมาะกับเราไหม” ทั้งเรื่องความเสี่ยง ระยะเวลาที่ต้องถือ รวมไปถึงเป้าหมายทางการเงินของเราเอง
การลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีไม่ควรมองเพียงแค่ประโยชน์ด้านภาษีเพียงอย่างเดียว แต่ควรมองเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนการเงินระยะยาวด้วย โดยเฉพาะกองทุน RMF ที่ออกแบบมาเพื่อการเกษียณ
จึงควรเลือกด้วยความรอบคอบและสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตของตนเอง รวมทั้งสำหรับนักลงทุนกลุ่ม High Net Worth ที่มีฐานภาษีในระดับสูง ในโค้งสุดท้ายปี 2568 นี้ สามารถวางแผนการลงทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุดรวมกันถึง 8 แสนบาท ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีในการบริหารภาษีและสร้างพอร์ตการลงทุนระยะยาวไปพร้อมกัน
"ถึงแม้จะมีกองทุนให้เลือกมากมาย แต่ถ้าเราเข้าใจหลักการเลือกที่ถูกต้อง ก็จะสามารถตัดสินใจได้ไม่ยาก การเลือกกองทุนที่เหมาะสมจะช่วยให้นักลงทุนสามารถถือครองกองทุนได้ในระยะยาวโดยไม่กังวลจนเกินไป และยังเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีตามเป้าหมายที่วางไว้" กฤช กล่าว
สำหรับหลักเกณฑ์สำคัญในการเลือกกองทุนลดหย่อนภาษี ได้สรุปไว้ 3 ประเด็นหลักที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ ดังนี้
1. ระดับความเสี่ยงที่รับได้
ผู้ลงทุนควรประเมินก่อนว่าตนเองสามารถรับความผันผวนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะกองทุนแต่ละประเภทมีลักษณะความเสี่ยงที่ต่างกัน
2. ระยะเวลาการลงทุนและเงื่อนไขด้านภาษี
กฤช อธิบายว่า กองทุนลดหย่อนภาษีมีเงื่อนไขการถือครองต่างกัน โดยกองทุน Thai ESG Fund ต้องถือครองอย่างน้อย 5 ปีปฏิทิน มีระยะเวลาการถือครองสั้นกว่า RMF เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อน
แต่ยังอยากคงความยืดหยุ่นทางการเงิน ส่วนกองทุน RMF (Retirement Mutual Fund) ต้องถือครองจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่วางแผนออมเพื่อการเกษียณอย่างจริงจัง
"จุดสำคัญคือ ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรมั่นใจว่าระยะเวลาการถือครองเหมาะกับเป้าหมายของเราจริง ๆ ไม่เช่นนั้นอาจติดเงื่อนไขและกระทบการวางแผนการเงินได้"
3. นโยบายการลงทุนของกองทุน
นโยบายการลงทุนสะท้อนว่ากองทุนเอาเงินเราไปลงทุนกับอะไร ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความเสี่ยงและผลตอบแทนในอนาคต ผู้ลงทุนควรพิจารณาว่า กองทุนมีการเน้นลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด
ได้แก่ ตราสารหนี้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของเงินต้น ตราสารทุนที่เหมาะสำหรับผู้ที่มุ่งหวังโอกาสการเติบโตของเงินลงทุน และกองทุนผสมที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสมดุลระหว่างความมั่นคงและการเติบโต
นอกจากนี้ บล.พาย ได้คัดเลือก 7 กองทุนที่มีศักยภาพมาครอบคลุมครบทั้งตราสารหนี้ กองผสม หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ และกองทุนกลุ่ม Thai ESG เพื่อเป็นตัวเลือกให้นักลงทุนใช้ลดหย่อนภาษี พร้อมเพิ่มโอกาสเติบโตของพอร์ตในระยะยาวตามสไตล์ความเสี่ยงของแต่ละคน ได้แก่
กองทุน Thai ESG
กองทุน RMF
กฤช แนะนำเพิ่มเติมว่า ผู้ลงทุนควรเริ่มวางแผนภาษีและทยอยซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่ารอจนถึงวันสุดท้ายของปีแล้วค่อยตัดสินใจ เพราะหากลงทุนไม่ทัน อาจพลาดโอกาสรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในปีนี้ไปได้ โดยสามารถซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี RMF และ Thai ESG ได้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้