ถอดบทเรียนการเงินจากวิกฤติ “น้ำท่วมภาคใต้” ต้องมีเงินสำรอง-ประกันฯ แค่ไหน

Personal Finance

Financial Planning

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ถอดบทเรียนการเงินจากวิกฤติ “น้ำท่วมภาคใต้” ต้องมีเงินสำรอง-ประกันฯ แค่ไหน

Date Time: 1 ธ.ค. 2568 15:25 น.

Video

Jack Ma กลับมา จะพา Alibaba สร้างอำนาจใหม่ให้วงการเทคจีนได้ยังไง ? | Digital Frontiers EP.50

Summary

จากบทเรียนน้ำท่วมภาคใต้ครั้งใหญ่ เราต้องหันมาทบทวนการเงินส่วนตัว ทั้งเรื่องเงินสำรองฉุกเฉิน 6-12 เดือน ประกันที่มีอยู่เพียงพอไหมถ้าเจอภัยพิบัติ หรือภาระหนี้ที่มีอยู่ต้องจัดการอย่างไร

เมื่อพูดถึงการวางแผนการเงิน หลายคนคงนึกถึงการเกษียณอายุหรือการลงทุนเพื่อความมั่งคั่งในอนาคต แต่สิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปโดยไม่รู้ตัวนั้นคือ การมีเงินรองรับความเสี่ยงจากภัยต่างๆ รวมถึงภัยธรรมชาติ เช่น เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ประเทศไทยเพิ่งเผชิญไป นี่ไม่ได้กระทบต่อแค่ทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังสะเทือนไปถึงกระเป๋าเงินของใครหลายๆ คนด้วย

ถอดบทเรียนการเงินจากน้ำท่วมภาคใต้

ใครจะคิดว่าปีนี้จะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในภาคใต้ ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อจังหวัดนครศรีธรรมราช, พัทลุง, สุราษฎร์ธานี, นราธิวาส, ปัตตานี, ตรัง, สตูล, ยะลา และสงขลา จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM (ณ 28 พ.ย. 68) ระบุว่า มีประชาชนได้รับผลกระทบ 1.22 ล้านครัวเรือน ราว 3.54 ล้านคน

น้ำท่วมครั้งใหญ่นี้ยังสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชนทั้งบ้าน และรถ ที่สำคัญคือ “การเงิน” ของใครหลาย ๆ คนก็แทบจะจมดิ่งตามไปด้วย Thairath Money ชวนถอดบทเรียนการเงินจากมหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นให้ผู้อ่านวางแผนชีวิตไว้รับมือทุกเรื่องที่อาจเข้ามา

1. มีเงินสำรองฉุกเฉิน = สวมเสื้อชูชีพเมื่อน้ำท่วม

ความเสียหายจากน้ำท่วม ทำให้หลายคนต้องเจอคือ “ค่าใช้จ่าย” ที่ผุดขึ้นมา เช่น ค่าซ่อมบ้านที่อาจสูงถึงหลักหมื่น หรืออาจทะลุไปถึงหลักแสนหากโครงสร้างของบ้านเสียหายหนัก ซึ่งนี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น รถ หรือของใช้ในบ้านที่เสียหาย

ในช่วงที่ต้องจัดการปัญหาต่างๆ เราอาจไม่สามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ รายได้ก็อาจหายไปด้วย ดังนั้น อย่างแรกเราควรมีเงินสำรองฉุกเฉินเอาไว้เพื่อเป็นเบาะรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น

แต่สงสัยกันไหมว่าต้องมีเท่าไหร่จะถึงพอ? สมาคมนักวางแผนการเงินไทยระบุว่า เราควรมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6 - 12 เดือนของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เพื่อให้ตั้งหลักได้ในวันที่เจอวิกฤติ

เช่น หากเรามีรายจ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 20,000 บาท ก็ควรมีเงินสำรองก้อนนี้ประมาณ 120,000 - 240,000 บาท เพื่อใช้อุ่นใจและช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายก้อนโตที่ต้องเจอหลังน้ำลด

2. “ประกันภัย” ควรมีไว้เสมอ

เมื่อน้ำท่วมมาเยือนเราโดยไม่ทันตั้งตัวและสร้างความเสียหายหนักต่อทรัพย์สิน ถ้าเราไม่อยากควักเงินเก็บทั้งหมดออกมาใช้ เรามีตัวช่วยอะไรได้บ้าง? หนึ่งในทางออกนั้น คือ “ประกันภัย” ที่มีความคุ้มครองเรื่องที่เรามองว่าเสี่ยง เมื่อเกิดภัยหรือความเสียหายขึ้นก็อาจมีเงินบางส่วนมาช่วยพยุงเราให้ไปต่อในวันที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน

ซึ่งตัวอย่างประกันภัยที่ครอบคลุมกรณีน้ำท่วมและเราสามารถเคลมได้ คือ…

2.1. ประกันอัคคีภัยพ่วงความคุ้มครองน้ำท่วม

คนส่วนใหญ่มักทำประกันภัยบ้านในรูปแบบ “ประกันภัยอัคคีภัย” เพราะอาจมีความคุ้มครองภัยน้ำท่วมไว้ในหมวดภัยพิบัติ แต่ทั้งนี้ ในเรื่องของวงเงินความคุ้มครองหรือกรณีที่คุ้มครองนั้นอาจต้องดูกันที่รายละเอียดในกรมธรรม์อีกที ถ้าไม่มีระบุความคุ้มครองไว้ ก็จะไม่สามารถเคลมได้

2.2. ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินทุกชนิด (IAR)

สำหรับบางคนที่ใช้บ้านเป็นที่ประกอบธุรกิจไปด้วยในตัว อาจซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติม อย่าง ประกันภัย IAR ที่มีความคุ้มครองหลายด้าน เช่น ความเสียหายต่อทรัพย์สิน อาทิ น้ำท่วม, ธุรกิจต้องหยุดพักกะทันหัน เป็นต้น

ที่สำคัญคือก่อนซื้อประกันฯ เราต้องเช็กเงื่อนไขความคุ้มครอง วงเงินความคุ้มครอง ที่ระบุไว้ในแต่ละกรมธรรม์ให้ดีก่อน รวมถึงต้องตรวจสอบช่องทางการติดต่อบริษัทประกันภัยไว้ด้วย

ครั้งนี้หลังเกิดภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ ในเบื้องต้นหลายคนที่มีประกันภัยบ้านมักจะมีวงเงินความคุ้มครองภัยพิบัติราว 20,000 - 30,000 บาท ต่อปี ถ้าครั้งนี้เรามองว่าวงเงินเท่านี้ไม่พอก็ถือเป็นช่วงเวลาที่เราทบทวนตัวเองว่า ประกันภัยที่มีอยู่พอกับความเสี่ยงที่เราต้องเจอไหม จะซื้อเพิ่มวงเงินเท่าไรจึงจะเพียงพอ

3. เปิดใจคุยกับเจ้าหนี้ตรง ๆ

เจอน้ำท่วมกระเป๋าเงินใครๆ ก็ฟีบแบนลง แต่คนที่มีหนี้ติดตัวอยู่อาจหนักยิ่งกว่า เพราะรายจ่ายที่เพิ่มมากขึ้น แต่เงินที่ต้องจ่ายหนี้ก็เลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นมีหนี้ยิ่งต้องรีบวางแผนจัดการตั้งแต่เนิ่น ๆ

หนึ่งในทางออกสำหรับผู้ประสบภัยที่มีหนี้บนบ่า คือการหันหน้าเข้าคุยกับเจ้าหนี้ตรง ๆ เช่น หลังลองคำนวณค่าใช้จ่าย และเงินที่มีในมือแล้ว เราอาจไม่สามารถจ่ายหนี้ค่างวดเท่าเดิมได้ ก็ติดต่อธนาคารหรือเจ้าหนี้ว่า มีกำลังเท่าไหนเรากำลังเจอกับสถานการณ์แบบไหน อาทิ บ้านถูกน้ำท่วม เสียหายหนัก ต้องใช้เงินจำนวนมากไปซ่อมแซมที่อยู่อาศัย เป็นต้น

ทั้งนี้ เราสามารถขอปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ หรือการขอเปลี่ยนเงื่อนไขในการชำระหนี้ใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ที่มีในปัจจุบันหรือเพื่อให้เราสามารถจ่ายหนี้ต่อไปได้

ช่วงนี้หลายธนาคารมีการออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และลูกค้าทั่วไปที่เป็นผู้ประสบภัยจากน้ำท่วมภาคใต้ โดยมีทั้งให้พักชำระหนี้, ลดดอกเบี้ย ฯลฯ ซึ่งหากเราได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี้จนทำให้การชำระหนี้สะดุด การลองคุยกับเจ้าหนี้หรือธนาคารเพื่อหาทางออกร่วมกันก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ดี

ทั้งหมดนี้คือแนวทางรับมือวิกฤตที่ Thairath Money ถอดบทเรียนมาจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่เพิ่งเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำไปวางแผนรองรับภัยธรรมชาติที่อาจถาโถมมาหาเราโดยไม่ได้เตือนล่วงหน้า แต่ถ้าเรามีแผนการเงินที่ดีเป็นรากฐาน จะทำให้เรายืนได้มั่นคงแม้ในวันที่ต้องเผชิญหน้ากับพายุลูกใหญ่ก็ตาม


อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ “การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney 


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ