
นานา ไรบีนา ยอมรับว่าเป็นบุคคลในข่าวหนี้สินกว่า 400 ล้านบาท เกิดจากการทำธุรกิจ
จากข่าวลือประเด็นร้อนของดาราอักษรย่อ “น.” ว่าชวนเพื่อนลงทุนแล้วมีหนี้รวมกว่า 400 ล้านบาท ล่าสุดทาง “นานา - ไรบีนา อินทชัย” ออกมายอมรับด้วยตัวเองว่าเป็นคนในข่าว และต้นตอปัญหาไม่ได้มาจากการพนัน แต่มาจากการทำธุรกิจที่เกินตัว
แม้ นานา จะออกมาแถลงผ่านไลฟ์สดหลายครั้งเพื่ออธิบายสถานการณ์ต่างๆ ทว่าหลายคนยังมีข้อสงสัยกับเรื่องเหล่านี้ ว่า ถ้าเกิดกับตนเองต้องรับมือยังไงดี
ยอดหนี้รวมดอกเบี้ยกว่า 400 ล้านบาท หลายคนอาจสงสัยว่า “ใช้เวลานานเท่าไร” หนี้ถึงพอกพูนมาถึงจุดนี้ แต่พอ นานา - ไรบีนา เล่าว่าเธอยืมเงินจากเพื่อนๆ และพยายามจ่ายคืนหนี้ด้วยอัตราดอกเบี้ย 4% ต่อเดือน หรือคิดเป็น 48% ต่อปี ก็ทำให้เห็นภาพว่าหนี้โตมาถึงหลักร้อยล้านได้อย่างไร
แต่อย่างที่ทุกคนรู้กันดี ไม่ว่าจะการกู้ยืมกันเองกับเพื่อน หรือกู้หนี้นอกระบบ กฎหมายกำหนดไว้ว่า อัตราดอกเบี้ยต้องไม่เกิน 15% ต่อปี หรือ 1.25% ต่อเดือน ถ้าใครคิดเกิน 15% ต่อปีก็จะถือว่าฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 “ดอกเบี้ย” ที่เกินจาก 15% แรกมาก็จะเป็นโมฆะไป (ตัวอย่างจาก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2563)
ในฐานะลูกหนี้ ถ้าใครต้องเจอเจ้าหนี้ดอกเบี้ยโหด ไม่ว่าจะกู้รายเดือน รายปี หรือรายวัน ต้องรีบแก้ไข เรามีคำแนะนำจากสภาองค์กรของผู้บริโภคกล่าวว่า 4 ขั้นตอนเพื่อรับมือปัญหานี้ คือ
1. หยุดจ่ายเงินก่อน
2. ตรวจสอบยอดหนี้ หากดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ให้หยุดจ่าย
3. รวบรวมหลักฐานการกู้เพื่อไปแจ้งความ เช่น ข้อความแชต, ชื่อแอปฯ สลิป, รายการเดินบัญชีตั้งแต่กู้เงินมา
4. ลบแอปฯ กู้เงินออกทั้งหมด ป้องกันโดนรีดเงินเพิ่ม
ฝั่งเจ้าหนี้เองต้องคิดให้รอบด้านเช่นกัน เพราะการให้กู้ยืมดอกเบี้ยเกิน 15% ต่อปี เป็นความผิดทางอาญาอีกด้วย แม้ในไทยจะมีคนหัวหมอที่ระบุ “ดอกเบี้ยส่วนเกิน” ในชื่ออื่นๆ เช่น ค่าธรรมเนียมเรียกใช้วงเงิน ฯลฯ แต่ศาลก็อาจพิจารณาว่าเป็นการเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยเกินอัตราเช่นกัน
อีกหนึ่งเรื่องที่หลายคนโฟกัสคือ การทำธุรกิจของเหล่าดารา ที่ดูจะเติบโตเร็ว แต่นี่อาจเป็นกับดักถ้าเราไม่วางแผนให้ดี โดยเฉพาะเรื่องเงินว่าจะบริหารยังไงให้ธุรกิจไปรอด และไม่สร้าง “หนี้มหาศาล” ตามมา ดังนั้นเราอยากจะชวนคิดใน 4 เรื่องสำหรับคนที่กำลังเริ่มหรือมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
1. “กำไร” เป็นสิ่งสำคัญ แต่ “กระแสเงินสด” สำคัญกว่า: อย่าดูแค่ตัวเลขกำไรทางบัญชี แต่ต้องบริหารเงินสดให้พอจ่ายค่าของ ค่าแรง และหนี้สิน สิ่งสำคัญคือ “ห้ามใช้เงินปนกัน” อย่าดึงเงินร้านไปใช้ส่วนตัว เช่น ไปจ่ายค่าเทอมลูก เพราะอาจส่งผลถึงสภาพคล่องของธุรกิจ จึงควรแยกบัญชีส่วนตัวออกจากบัญชีธุรกิจให้ชัดเจน
2. ไม่ทำบัญชี 2 เล่ม เพื่อให้เห็นภาพรวมที่แท้จริง: พื้นฐานของธุรกิจต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอยู่เสมอ ในทุกยอดการใช้จ่ายเพื่อให้รู้สถานะการเงินของเรา แต่ที่สำคัญกว่าคือ ไม่ทำบัญชี 2 เล่ม (เล่มนึงไว้ยื่นกรมสรรพากร, เล่มนึงไว้ดูเอง) เพราะนี่อาจเป็นช่องโหว่ให้เกิดการรั่วไหลของเงินก็เป็นได้
3. แบ่งเงินสำรอง ไว้รับมือทุกเรื่อง: เมื่อมีกำไรควรแบ่งเงินส่วนหนึ่งเป็น “เงินทุนสำรอง” เพราะการทำธุรกิจต้องเตรียมเงินสำหรับขยับขยาย ไปจนถึง ถ้าเจอเรื่องไม่คาดคิดก็สามารถใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีกว่า ถึงวันที่เดือดร้อนขึ้นมาแต่ไม่มีเงิน เราอาจต้องกู้ยืมดอกเบี้ยสูง และกลายมาเป็นภาระทีหลัง
4. ธุรกิจจะดี เจ้าของต้องมีเงินอย่างมั่นคง: มีสักกี่คนที่ธุรกิจดี แต่ชีวิตการเงินส่วนตัวไม่ดี? ดังนั้น เมื่อเราขีดเส้นเงินส่วนตัวกับธุรกิจอย่างชัดเจน ก็ควรบริหารการเงินส่วนตัวไว้ด้วยเพราะเป้าหมายของเงินก้อนนี้จะต่างจากธุรกิจ เราต้องวางแผนถึงคนที่เรารัก เราอาจกันเงินส่วนหนึ่งไว้ซื้อประกันภัย หรือวางแผนเกษียณส่วนตัวไว้
เรื่องของ “หนี้สิน” หลายคนอาจสงสัยว่าเมื่อ นานามีหนี้ก้อนโตที่เกิดจากการกู้ยืมนั้น สามีอย่าง เวย์ ไทเทเนียม หรือ ปริญญา อินทชัย จะต้องรับผิดชอบหนี้ส่วนนี้ด้วยไหม? แม้เราจะไม่มีรายละเอียดในเรื่องนี้ แต่ Thairath Money อยากชวนมาเข้าใจพื้นฐานกฎหมายเรื่องสินสมรสตามบริบทของไทยกัน
อย่างแรก เมื่อแต่งงานจดทะเบียนกันแล้ว ทรัพย์สมบัติที่เกิดขึ้นหลังแต่งงาน เช่น เงินเดือน เงินบำนาญ เงินค่าเช่าจากทรัพย์สินที่มีอยู่ ฯลฯ ก็ต้องแชร์กัน รวมไปถึงขา “หนี้” ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกันด้วย
ข้อมูลจากสำนักงานกิจการยุติธรรม แจกแจงไว้ว่า การเป็นลูกหนี้ร่วมกันของคู่สมรส เกิดได้จากหลายกรณี เช่น
- หนี้เกี่ยวกับการจัดการบ้านเรือน
- หนี้จากการรักษาคนในครอบครัว
- หนี้ที่เกี่ยวกับสินสมรส
- หนี้จากการอุปการะเลี้ยงดู
- หนี้ที่เกิดขึ้นจากงานที่ทำด้วยกัน
- ฯลฯ
นอกจากนี้ แม้จะเป็นหนี้ของสามี หรือภรรยา คนใดคนหนึ่ง แต่ถ้าอีกฝ่ายเห็นชอบ ก็ถือเป็นหนี้ที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ซึ่งหลายเคสการกู้ยืมจะต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากอีกฝ่าย เช่น ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์, กู้ยืมเงิน เป็นต้น
ทั้ง 3 เรื่องนี้ เป็นกฎเหล็กเรื่องเงินที่ใกล้ตัวเราทุกคน แม้ว่าเราอาจผิดพลาดไปบ้าง แต่การ “ยอมรับความจริง” และ “แสดงความรับผิดชอบ” อาจเป็นทางออกที่ช่วยให้ทุกคนเดินหน้าต่อไปได้ เพราะการมีหนี้สินไม่ใช่จุดจบของชีวิต แต่อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้เราได้กลับมาทบทวนข้อผิดพลาด เพื่อเริ่มต้นใหม่ได้อย่างมั่นคงกว่าเดิม
ที่มา : สำนักงานกิจการยุติธรรม, สภาองค์กรของผู้บริโภค, สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ “การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney