
OHANA ปลด 'เดอะมีน' สมาชิกผู้ก่อตั้งออกอย่างกะทันหัน สร้างความสงสัยในหมู่แฟนคลับ
“ทำธุรกิจว่ายากแล้ว แต่ทำร่วมกับเพื่อนอาจยากกว่า”
หลายคนวาดฝันอยากทำธุรกิจกับครอบครัว หรือ “เพื่อน” ที่รู้ใจ แต่ถ้ามีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็อาจต้องคิดให้มากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ได้เหมือนกัน
ประเด็นการทำธุรกิจกับเพื่อนนั้น กลายเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็พูดถึงหลังจาก (17 พ.ย. 2568) แก๊งยูทูบเบอร์ “โอฮาน่า (OHANA)” ออกมาประกาศปลด “เดอะมีน“ หนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งที่ทำงานตำแหน่งบัญชีอย่างกะทันหัน โดยจะเหลือกันเพียงแค่ 6 คน จากที่เคยมี 7 คน สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าแฟน ๆ เป็นอย่างมากจนติดเทรนด์ X และเป็นกระแสในโลกโซเชียลมีเดียว่า ขัดแย้งกันเพราะเรื่องเงินหรือเปล่า
แม้ทางบริษัท โอฮาน่า โปรดักชั่น จำกัด จะไม่ได้แจ้งสาเหตุที่ชัดเจนสำหรับการปลดฟ้าผ่าในครั้งนี้ แต่จากโพสต์ล่าสุด (18 พ.ย. 2568) บน Facebook ของ Pongsatorn Laojunthuek หรือ เดอะมีน ออกมาขอโทษและแจ้งว่าได้ขายทรัพย์สินทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อแก้ปัญหาที่ก่อขึ้น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเห็นว่าเรื่องการเงินส่งผลกระทบต่อมิตรภาพมากแค่ไหน โดยเฉพาะคนที่ทำธุรกิจร่วมกันและเริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการทำธุรกิจกับเพื่อนจะเป็นเรื่องต้องห้ามเสมอไป เพราะสิ่งที่สำคัญคือเราจะแบ่งความสัมพันธ์กับเรื่องเงินยังไงให้สมดุล
เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร ต่อให้สนิทกันแค่ไหน แต่เมื่อไหร่มีเรื่องผลประโยชน์และเงินเข้ามาเอี่ยว ก็อาจทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนไปได้ภายในชั่วพริบตา ดังนั้นมี 2 คำแนะนำเมื่อต้องวางแผนธุรกิจร่วมกัน
1. เรื่องเงินต้องคุยให้เคลียร์ ตั้งแต่ก่อนเริ่มทำธุรกิจ
แม้การคุยเรื่องเงินอาจดูเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าจะทำธุรกิจร่วมกัน ต้อง คิด วางแผน และจริงใจต่อกัน นอกจากแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบว่าใครดูแลส่วนใด ยังต้องวางแผนว่าจัดสรรหรือแบ่งผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นอย่างไร ไปจนถึงถ้าเปิดบริษัท เปิดร้านด้วยกันจะแบ่งหุ้นส่วนกันแบบไหนดีอย่างไร
ทั้งนี้ อย่าใช้ระบบความไว้ใจเพียงอย่างเดียว อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเงินทอง รายรับรายจ่าย ควรมีการลงบันทึกไว้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น ถ้าหุ้นส่วนจะเบิกเงินกองกลางไปทำโครงการ A ไม่ควรรับแจ้งปากเปล่าหรือสัญญาใจ แต่ต้องทำเอกสารเบิกจ่ายตามระเบียบเดียวกับทุกคนเพื่อให้ตรวจสอบได้ และหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
2. แบ่งสัดส่วนหุ้น-กำไรให้ชัดเจน
เมื่อธุรกิจที่ทำนั้นเริ่มมีรายได้แล้ว สิ่งที่จะตามมาคือเรื่องของผลประโยชน์หรือการจัดสรรหุ้น ถ้าไม่ลงตัวก็อาจสร้างความยุ่งยากได้ เราขอยกตัวอย่างการแบ่งจัดสรรมาให้ดูกัน เช่น
ถ้าเราลงทุนเปิดร้านอาหารกับเพื่อน 2 คน มีเงินทุนตั้งต้นทำกิจการรวม 100,000 บาท นาย ก. 50,000 บาท นาย ข. อีก 50,000 บาท เราอาจแบ่งหุ้นคนละ 50:50 แต่ถ้าใครลงเงินทุนมากกว่าก็อาจตกลงกันว่าจะได้สัดส่วนหุ้นมากกว่าก็ได้
การร่วมธุรกิจ “ทุน” อาจมีหลายรูปแบบ เพราะเพื่อนบางคน “ลงแรง” บางคน “ลงเงิน” แต่ก็ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างธุรกิจให้เติบโต แต่เราจะแบ่งสัดส่วนหุ้นอย่างไร
เราขอยกตัวอย่างวิธีที่ง่ายที่สุด เพื่อแบ่งหุ้นกันในสัดส่วน 50% อาจใช้การเปลี่ยน “ค่าแรง” ให้เป็น “ทุน” เช่น อยากทำร้านกาแฟประเมินทุนไว้ที่ 360,000 บาท/ปี จะมาจาก
- นาย ก. จะมาเป็นผู้จัดการร้านตีเงินเดือนที่ 15,000 บาท เมื่อทำงานครบ 1 ปีจะนับเป็นเงินลงทุนราว 180,000 บาท
- นาย ข. ควักเงินจ่ายไปเลย 180,000 บาท/ปี
เมื่อทำธุรกิจไปสักพัก กิจการต้องขยายแต่ถ้ากระแสเงินสดในบริษัทไม่พอ เราอาจต้องใช้เงินทุนเพิ่ม ดังนั้น ถ้ามีใครลงเงินเพิ่มสัดส่วนของหุ้นก็อาจเปลี่ยนไปด้วย เช่น ถ้าตั้งต้นธุรกิจโดยใช้เงินทุน 100,000 บาท (คนละ 50,000 บาท สัดส่วนหุ้นคนละ 50%) ต่อมาเราเพิ่มทุน เราเพิ่มทุนไปอีก 100,000 บาท แต่เพื่อนอีกคนไม่ได้ลงทุนเพิ่ม ดังนั้น เงินทุนของธุรกิจนี้จะรวมอยู่ที่ 200,000 บาท แต่สัดส่วนหุ้นของเราจาก 50% จะเพิ่มเป็น 75% (จากเงินลงทุนรวม 150,000 บาท) ส่วนเพื่อนที่ไม่ได้เพิ่มทุน จะได้สัดส่วนหุ้นน้อยลงเหลือ 25% (จากเงินลงทุนรวม 50,000 บาท)
เรื่องเงินอาจไม่ใช่สาเหตุหลักให้คนผิดใจกัน แต่ “เหตุผล” ที่ตามมาอาจทำให้เพื่อนเลือกจะบอกลาต่อกัน เช่น เบี้ยวไม่คืนเงินเพื่อน หรือ ไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น และเหตุผลอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นถ้าจะทำธุรกิจกับใคร การพูดคุยอย่างจริงใจ ใช้สัญญาที่โปร่งใส และมีแผนการเงินที่ชัดเจน อาจช่วยให้มิตรภาพและการทำธุรกิจราบรื่น
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ “การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney