
นักลงทุนและอินฟลูเอนเซอร์บางรายมองว่าการบริจาคแทนการซื้อประกันชีวิตเป็นการบริหารความเสี่ยง
“บริจาคเงิน 40 ล้าน ได้สิทธิ์รักษาฟรี ตลอดชีวิต”
นี่คือคำบอกเล่าของ “ดิว-วีรวัฒน์ วลัยเสถียร” นักลงทุนและอินฟลูเอนเซอร์สายธุรกิจ ที่เพิ่งกลายเป็นกระแสอีกครั้ง หลังจากพูดถึงเหตุผลที่แท้จริง ว่า “ทำไมคนรวยบางคน ไม่จำเป็นต้องซื้อประกันชีวิต”
เพราะในมุมของดิว การรับมือกับความเสี่ยง ไม่จำเป็นต้องทำผ่านกรมธรรม์เพียงอย่างเดียว แต่สามารถทำผ่าน “การบริจาค” ได้ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นการใช้เงินให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อสังคม และต่อการวางแผนชีวิตของตนเอง
ในบทความนี้ Thairath Money จึงอยากชวนมองในเชิงเศรษฐกิจให้ลึกขึ้น ว่าทำไมการบริจาค จึงถือเป็นอีกหนึ่งของ “รูปแบบการจัดการความมั่งคั่ง” ที่อาจสะท้อนแนวคิดของคนมีฐานะได้ไม่น้อย
เพราะแท้จริงแล้ว การบริจาคให้โรงพยาบาล ในฐานะ “ผู้ให้รายใหญ่” ไม่ใช่ได้แค่เพียง สิทธิ์รักษาฟรีตลอดชีพ แต่ยังได้รับสิทธิ์ตอบแทนอื่นๆในอีกหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะด้านสิทธิแง่สาธารณสุข ภาพลักษณ์ และสิทธิลดหย่อนภาษีอีกด้วย
นี่เอง จึงอาจเป็นเหตุผลสำคัญว่า…ทำไม “โรงพยาบาล” จึงกลายเป็นจุดหมายยอดนิยมของผู้บริจาครายใหญ่ในไทย เพราะเบื้องหลังการให้แต่ละครั้งใหญ่ ๆ มักมี “คุณค่าที่ได้รับกลับมา” มากกว่าที่หลายคนคิด
1.บริจาคเงินลดหย่อนภาษีได้ มากสุด 2 เท่า
พื้นฐานเลย สำหรับสิทธิที่ได้จากการบริจาค ในหมวดด้านสาธารณสุข หากผู้บริจาค เป็นบุคคลธรรมดา ข้อมูลจากกรมสรรพากร ระบุว่า จากเงื่อนไขการบริจาคเงินให้กับสถานพยาบาลของทางราชการและสภากาชาดไทย จะสามารถนำมาลดหย่อนภาษี ได้ตามจำนวนเงินที่บริจาค แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่นๆแล้ว
ตัวอย่างเช่น
หากมีเงินได้สุทธิหลังหักลดหย่อนแล้ว 50 ล้านบาท และบริจาคเงินให้โรงพยาบาลรัฐ 40 ล้านบาท คนๆนั้น สามารถนำยอดบริจาคนั้นมาลดหย่อนได้สูงสุด 10% ของเงินได้สุทธิ หรือ 5 ล้านบาท แต่ถ้าอยู่ในโครงการที่ได้รับสิทธิ “ลดหย่อน 2 เท่า” จะหักได้สูงสุดถึง 10 ล้านบาท
เรียกได้ว่า นอกจากเป็นการ “ให้” แล้ว ยังเป็น “การวางแผนภาษี” ที่ช่วยลดภาระทางการเงินได้จริง โดยไม่ผิดกฎหมาย
2. สิทธิ์ตอบแทนในเชิงบริการสาธารณสุข
นอกจากสิทธิทางภาษีแล้ว หลายโรงพยาบาลรัฐและโรงเรียนแพทย์ มักมอบสิทธิ์พิเศษตอบแทนผู้บริจาครายใหญ่ เช่น
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละโรงพยาบาล ซึ่งจะมีเกณฑ์และขั้นตอนที่ชัดเจน
ตัวอย่างเช่น สิทธิประโยชน์ ของผู้บริจาคของมูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี จะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนค่ารักษาพยาบาล ดังนี้
- ผู้ที่บริจาคเงิน ตั้งแต่ 2-5 แสนบาท (ผู้อุปการะสามัญ)จะได้รับการลดหย่อนค่ารักษาพยาบาล แบบผู้ป่วยใน 25% ของจำนวนเงินทั้งหมด ระยะเวลาที่ใช้สิทธิประโยชน์ จำนวน 15 ปี
- ผู้ที่บริจาคเงิน ตั้งแต่ 5 แสน - 1 ล้านบาท (ผู้อุปการะวิสามัญ) จะได้รับการลดหย่อนค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยใน 30% ของจำนวนเงินทั้งหมด ระยะเวลาที่ใช้สิทธิประโยชน์ จำนวน 15 ปี
- ผู้ที่บริจาคเงิน ตั้งแต่ 1 - 5 ล้านบาท (ผู้อุปการะกิตติมศักดิ์ 1) จะได้รับการลดหย่อนค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก 30% ของจำนวนเงินทั้งหมด และลดหย่อนค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยใน 50% และลดหย่อนค่าห้องพิเศษและค่าอาหารพิเศษ 30% ของจำนวนเงินทั้งหมด ระยะเวลาที่ใช้สิทธิประโยชน์ จำนวน 15 ปี
- ผู้ที่บริจาคเงิน ตั้งแต่ 5-10 ล้านบาท (ผู้อุปการะกิตติมศักดิ์ 2) จะได้รับการลดหย่อนค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก (ทั้งตนเองและบุคคลใน ครอบครัว ได้แก่ บุตร ,คู่สมรส และ บิดาหรือมารดา ) 50% ของจำนวนเงินทั้งหมด, ลดหย่อนค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยใน 50 % และลดหย่อนค่าห้องพิเศษและค่าอาหารพิเศษ 50% ของจำนวนเงินทั้งหมด ระยะเวลาที่ใช้สิทธิประโยชน์ ตลอดชีพ
- ผู้ที่บริจาคเงิน 10 ล้านบาทขึ้นไป (ผู้อุปการะกิตติมศักดิ์ 3) จะได้รับการยกเว้นค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก (ทั้งตนเองและบุคคลใน ครอบครัว ได้แก่ บุตร ,คู่สมรส และ บิดาหรือมารดา ) ได้สิทธิลดหย่อนค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยใน 50% ของจำนวนเงินทั้งหมด และได้รับการยกเว้นค่าห้องพิเศษและค่าอาหารพิเศษ ระยะเวลาที่ใช้สิทธิประโยชน์ ตลอดชีพ
3. สิทธิ์ทางสังคมและภาพลักษณ์
นอกเหนือจากผลทางการเงิน การบริจาคก้อนใหญ่ยังสร้าง “ทุนทางสังคม” ให้กับผู้ให้ เช่น
สำหรับนักธุรกิจหรือผู้มีชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้ไม่ต่างจาก “การลงทุนในภาพลักษณ์ระยะยาว” ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่ดีต่อสาธารณะ
เรื่อยไปจนถึง ผู้บริจาคเงินหรือทรัพย์สิน ตามเงื่อนไข มูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี จะขอพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ให้แก่บุคคลนั้นได้อีกด้วย โดยที่การบริจาค ไม่จำเป็นต้องบริจาคครั้งเดียวหรือภายในปีเดียว
เช่น ชั้นที่ 1 ปฐมดิเรกคุณาภรณ์ (ป.ภ.) ชั้นตราสำหรับผู้บริจาคทรัพย์สิน 30 ล้านบาทขึ้นไป
จากข้อมูลทั้งหมด จะเห็นได้ว่า การบริจาคเงินให้โรงพยาบาล สำหรับคนทั่วไปอาจเป็นเรื่องของ “ความดีใจอยากช่วยสังคม” แต่สำหรับเศรษฐีหลายคน นี่คือ “กลยุทธ์ทางการเงิน” ที่ผสานทั้งความมั่นคงทางสุขภาพ ,การบริหารภาษี และการสร้างคุณค่าทางสังคมในเวลาเดียวกันเพราะในท้ายที่สุด “การให้” อาจไม่ใช่การเสีย แต่คือ “การจัดสรร” ความมั่งคั่ง ที่กฎหมายเปิดช่องให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney