“สุขกาย สบายกระเป๋า” Big Quick Win รัฐบาลอนุทิน ลดค่ายา 3.2 หมื่นล้าน คนไทยช้อปยา นอก รพ.เอกชน ได้

Personal Finance

Financial Planning

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

“สุขกาย สบายกระเป๋า” Big Quick Win รัฐบาลอนุทิน ลดค่ายา 3.2 หมื่นล้าน คนไทยช้อปยา นอก รพ.เอกชน ได้

Date Time: 7 พ.ย. 2568 19:11 น.

Video

Sony ทำได้ยังไง ? หาเงินจากทุกสิ่ง แบบไม่ต้องวิ่งแข่งกับใคร | Digital Frontiers EP.51

Summary

โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” เปิดตัวโดยนายกฯ อนุทินฯ ร่วมกับหลายหน่วยงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ

  • โรงพยาบาลเอกชนต้องเปิดเผยราคายา และผู้ป่วยสามารถซื้อยาจากร้านขายยาภายนอกได้
  • มีโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมแล้วกว่า 300 แห่ง และร้านขายยา 3,400 แห่งทั่วประเทศ
  • คาดว่าจะช่วยลดค่าครองชีพได้มากกว่า 32,000 ล้านบาทต่อปี
  • โครงการนี้ส่งเสริมการแข่งขันด้านราคา และเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค

หลังจากที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี Kick Off โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ผนึกพาณิชย์ สาธารณสุข โรงพยาบาลเอกชน ร่วมกันลดค่าครองชีพประชาชน 

ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) กระทรวงสาธารณสุข (กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ได้มีการจับมือร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” โดยมีเป้าหมายให้โรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยค่ายา และเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนสามารถเลือกซื้อยา ภายนอกโรงพยาบาลได้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีทางเลือกในการใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มมากขึ้น

อนุทิน  ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดี ที่จะทำให้ประชาชนมีทางเลือกด้านการรักษาพยาบาล รวมทั้งเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของ ประชาชนให้มีสุขภาพที่แข็งแรงและมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น ตามที่ได้มอบนโยบายให้กระทรวง พาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุข ในการหาแนวทางแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด่านการรักษาพยาบาล ร่วมกัน ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบาย Quick Big Win “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ด้านการลดค่าครองชีพของรัฐบาลตามที่ได้แถลงต่อรัฐสภา

ในการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว ถือเป็นการยกระดับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและ เอกชนในการเปิดเผยรายการยาและค่ายา เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้รับบริการในโรงพยาบาล เอกชนสามารถตัดสินใจเลือกซื้อยาภายนอกโรงพยาบาลได้ อันเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ด้านการรักษาพยาบาล ซึ่งขณะนี้มีโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมแล้วมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ

ลดค่าครองชีพ ไม่น้อยกว่า 32,000 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการคัดเลือกร้านขายยาเข้าร่วมโครงการฯ โดยประชาชนสามารถนำใบสั่งยาจาก โรงพยาบาลเอกชนไปซื้อยาที่ร้านขายยาที่ลงทะเบียนกับทาง อย. และมีตราสัญลักษณ์โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ซึ่งขณะนี้มีจำนวนมากกว่า 3,400 ร้าน หรือผ่านช่องทาง Telepharmacy ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับสภาเภสัชกรรม โดยสามารถปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับยาและราคายา ได้ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าได้ซื้อยาจากร้านขายยาที่มีคุณภาพมาตรฐาน ซึ่งคาดว่า จะช่วยลดค่าครองชีพได้ ไม่น้อยกว่า 32,000 ล้านบาทต่อปี

“รัฐบาลเชื่อมั่นว่าการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและ ภาคเอกชนในครั้งนี้ จะทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แบ่งเบาภาระค่าครองชีพ  อันเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” อนุทิน กล่าว 

ช่วยคนไทยบริหารจัดการรายจ่าย ค่ายา - ค่าหมอ

เม็ดเงินจำนวนมหาศาลกว่า 32,000 ล้านบาทต่อปีนี้ ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจมหภาคเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ การเงินส่วนบุคคล ของประชาชนทุกคนที่ต้องแบกรับภาระค่ารักษาพยาบาล 

โครงการ "สุขกาย สบายกระเป๋า" จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะเข้ามาปรับเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการรายจ่ายด้านสุขภาพของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ค่ายา” ซึ่งเป็นรายจ่ายสำคัญลำดับต้นๆ ของโรงพยาบาล 

รวมทั้งยังเป็น การเพิ่มอำนาจการต่อรองของผู้บริโภค เพราะการที่โรงพยาบาลเอกชนต้องเปิดเผยราคายา และผู้ป่วยสามารถเลือก นำใบสั่งยาไปซื้อยาจากร้านยาภายนอกได้ ถือเป็นการสร้าง กลไกการแข่งขันด้านราคา ในตลาดอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ผู้ป่วยสามารถเปรียบเทียบและเลือกซื้อยาในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรมกว่าการผูกขาดการซื้อยาจากโรงพยาบาลเพียงแห่งเดียว

ต่อมาคือ การลดภาระค่าใช้จ่ายฉับพลัน สำหรับผู้ที่ต้องรักษาในโรงพยาบาลเอกชน การลดต้นทุนค่ายาลงจะช่วย แบ่งเบาภาระทางการเงิน ได้อย่างมาก ทำให้ เงินในกระเป๋า มีเหลือไปใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ หรือนำไปเป็น เงินออมฉุกเฉิน สำหรับสุขภาพในอนาคตได้

รวมทั้งยังเป็นการ ส่งเสริมทางเลือก Telepharmacy การใช้ช่องทาง Telepharmacy ที่ขึ้นทะเบียนกับสภาเภสัชกรรม ยังช่วยให้ผู้ป่วยสามารถปรึกษาเภสัชกรและสอบถามข้อมูลราคายาได้ง่ายขึ้น ถือเป็นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อ เพิ่มความสะดวก และ เข้าถึงข้อมูลด้านราคา ก่อนการตัดสินใจซื้อ

ปรับเกมรุก สู่บริการที่เป็นเลิศ

ขณะที่ในแง่ของโรงพยาบาล คลินิก ห้างร้านต่าง ๆ ได้มีการประกาศเข้าร่วม พร้อมกับทำโปรโมชั่น เพื่อให้สอดรับกับนโยบายนี้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC ผู้ดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลและสุขภาพ ในเครือ PRINC Group หนึ่งในโรงพยาบาลที่ประกาศเข้าร่วม โครงการ "สุขกาย สบายกระเป๋า" อย่างเป็นทางการ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชน โรงพยาบาลพริ้นซ์ 16 แห่ง ทั่วประเทศ ขนขบวนบริการสุขภาพราคาประหยัด 62 รายการ เข้าร่วมโครงการ มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Care) และลดค่าใช้จ่ายจำเป็นของประชาชน เริ่ม 4 พฤศจิกายน 2568 ถึง 31 มกราคม 2569

โดยโครงการนี้ PRINC Group ได้คัดสรร 4 บริการหลักภายใต้แคมเปญ "One-Price" เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพพื้นฐานในราคาพิเศษทั้งเครือ ได้แก่

  • ส่วนลดค่ายา 10% มอบส่วนลด 10% สำหรับค่ายา (ไม่รวมค่ายานอกและยาพิเศษ) เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษาพยาบาลโดยตรงตลอดระยะเวลาโครงการ 
  • แพ็กเกจตรวจสุขภาพทั่วไป 15 รายการ ราคาพิเศษ 990 บาท จากราคาปกติ 3,270 บาท เหมาะสำหรับกลุ่มวัย 30+ ที่ต้องการคัดกรองสุขภาพพื้นฐานอย่างครบถ้วน 
  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ ราคาพิเศษ 690 บาท จากราคาปกติ 1,350 บาท เพื่อส่งเสริมการป้องกันโรคตามฤดูกาล ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับวัยทำงานและผู้สูงอายุ 
  • ตรวจน้ำตาลปลายนิ้ว "ฟรี" บริการคัดกรองความเสี่ยงโรคเบาหวาน (NCDs) โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยให้บริการเฉพาะช่วง 5 - 15 พฤศจิกายน 2568 และตามวัน-เวลาที่โรงพยาบาลกำหนด

เช่นเดียวกันกับ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล กรุ๊ป ได้นำร้านท็อปส์แคร์และร้านมัทสึคิโยะ ร้านยาในเครือฯ เข้าร่วมโครงการดังกล่าวด้วย ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัย และการดูแลอย่างใกล้ชิดจากเภสัชกรวิชาชีพในทุกขั้นตอน โดยประชาชนสามารถเข้าใช้บริการซื้อยาภายไต้โครงการดังกล่าวได้แล้วที่ร้านท็อปส์แคร์จำนวน 48 สาขา พร้อมร้านมัทสึคิโยะ จำนวน 2 สาขา ได้แก่ สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ และสาขาราชดำริ ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ครอบคลุมทั้งการรักษา การดูแล และการส่งเสริมสุขภาพในทุกมิติ ยังมีบริการ TeleMed & TelePharm ให้ลูกค้าสามารถปรึกษาแพทย์และเภสัชกรผ่านแชทหรือวิดีโอคอล พร้อมบริการจัดส่งยาถึงบ้าน ทั้งนี้ ท็อปส์แคร์ยังได้เข้าร่วมโครงการร้านยาคุณภาพกับสภาเภสัชกรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคในมาตรฐานการให้บริการที่ปลอดภัยและได้คุณภาพ

พลิกโฉมสมการธุรกิจสุขภาพ เมื่อผู้ป่วยมีอำนาจตัดสินใจเหนือกว่า

การเพิ่มทางเลือกและอำนาจการตัดสินใจให้แก่ผู้ป่วยเช่นนี้ ย่อมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสมการธุรกิจของภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการตลาดและการบริการ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันให้ได้ในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็น

1. การปรับตัวของโรงพยาบาลเอกชน 

ด้วยการที่ผู้ป่วยสามารถเลือกซื้อยาภายนอกได้ โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ จึงต้องปรับกลยุทธ์การตลาดจากเดิมที่เน้น "กำไรจากยาและเวชภัณฑ์" อาจจะนำไปสู่การเน้น "การบริการทางการแพทย์ที่เป็นเลิศ" แทน

  • เน้นสร้างมูลค่าจากบริการหลัก: โรงพยาบาลสามารถหันไปสร้างความแตกต่างและสร้างรายได้จาก ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าห้อง ค่าแพทย์ ค่าหัตถการ และ เทคโนโลยีการรักษา ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากขึ้น เพื่อดึงดูดผู้ป่วย
  • เสนอโปรโมชั่นเสริม : บางโรงพยาบาลมีการปรับกลยุทธ์ด้วยการนำเสนอ โปรโมชั่นพิเศษ เพื่อชดเชยส่วนที่อาจจะขาดหายไปจากกำไรค่ายา เช่น ส่วนลดค่ายาบางรายการ, แพ็กเกจตรวจสุขภาพราคาพิเศษ ฯลฯ 
  • ยกระดับความเชื่อมั่นและความโปร่งใส: การเปิดเผยราคายาเป็นการสร้าง ความโปร่งใส ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความไว้วางใจให้กับผู้บริโภคยุคใหม่

2. โอกาสทางธุรกิจของร้านขายยา

โครงการนี้เป็น โอกาสสำคัญทางธุรกิจ สำหรับร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการกว่า 3,400 แห่ง และช่องทาง Telepharmacy ที่ลงทะเบียนกับ อย.

  • เพิ่มจำนวนลูกค้าและยอดขาย: ร้านยาอาจกลายเป็น จุดจำหน่ายยาหลัก สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการประหยัดค่ายา ส่งผลให้ ปริมาณลูกค้าและยอดขายยาตามใบสั่งแพทย์เพิ่มขึ้น
  • ยกระดับมาตรฐานร้านยา: การที่ อย. ต้องคัดเลือกร้านขายยาเข้าร่วมโครงการและติดตราสัญลักษณ์ "สุขกาย สบายกระเป๋า" เป็นการยกระดับมาตรฐานและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านยาที่เข้าร่วม
  • การเติบโตของ Telepharmacy: ช่องทางปรึกษาและสั่งซื้อยาออนไลน์ (Telepharmacy) จะเติบโตขึ้นตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปสู่ดิจิทัล ซึ่งเป็นการขยายตลาดให้เข้าถึงผู้ป่วยได้กว้างขวางขึ้น

โครงการ "สุขกาย สบายกระเป๋า" จึงไม่เพียงแต่เป็นมาตรการลดค่าครองชีพ แต่ยังเป็นการยกระดับความโปร่งใส ของระบบบริการสุขภาพของประเทศ และกระตุ้นให้เกิดการทำโปรโมชั่น เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ที่จะนำไปสู่สุขภาพที่ดีขึ้นควบคู่ไปกับการเงินที่มั่นคงและยั่งยืนของคนไทยนั่นเอง

ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ