
ช่วงสองเดือนนี้ใครที่มี “คนละครึ่ง พลัส” ก็จับจ่ายซื้อของได้ง่ายขึ้น เพราะรัฐช่วยสนับสนุนเงินอีกครึ่งหนึ่งให้ แต่หลายคนก็เจอกับเงื่อนไขที่ผิดปกติ เช่น ขอแลกเงินสด หรือร้านค้าบวกราคาสินค้าผ่านภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สรุปแล้วร้านค้าทำได้จริงหรือ?
อย่างกรณีข้อร้องเรียนจากประชาชนถึงความผิดปกติของร้านค้า เช่น ไปซื้อของที่ร้านค้า ราคา 100 บาท เมื่อจ่ายด้วยเงินสดก็ใช้เงินเพียง 100 บาท แต่พอแจ้งร้านค้าว่าจะใช้คนละครึ่ง พลัส กลายเป็นร้านค้าขอบวก VAT 7% จึงต้องจ่ายเงินรวม 107 บาท ดังนั้นแม้รัฐบาลจะจ่ายอีกครึ่งหนึ่งในร้านค้า แต่ประชาชนที่เข้าใช้บริการก็รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ โดยเคสนี้ล่าสุดทางพาณิชย์จังหวัดมีการลงพื้นที่และสั่งปรับ 1,000 บาท ในร้านค้านี้เพราะป้ายราคาไม่ตรงกับราคาที่ขายจริง ซึ่งมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท (ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542)
ในเรื่องนี้มีความเห็นเพิ่มเติมจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ เชื่อว่าไม่มีใครตั้งใจขึ้นราคา แต่อาจมีความเข้าใจผิดที่บางคนไม่ได้อยู่ในระบบ VAT เลยต้องขึ้นราคา VAT 7% โครงการคนละครึ่งพลัสมีเรื่องของคนที่อยู่ในระบบภาษีอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากนี้จะเร่งอธิบายให้ร้านค้าเข้าใจและมีมาตรการเพิ่มเติม
ส่วนความเห็นจากฝั่งคลัง โดยลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า หากร้านค้าไหนที่จดทะเบียน VAT ต้องรวมภาษี 7% นี้เข้าไปในราคาสินค้าให้เรียบร้อยตั้งแต่แรก ไม่สามารถมาบวกเพิ่มกับลูกค้าทีหลังได้
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังย้ำว่าถ้าเจอร้านค้าที่โก่งราคา จะปรับจริง! โดยที่ผ่านมาระงับสิทธิการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ของร้านค้าแล้ว 55 ราย (ณ 31 ตุลาคม 2568) เพราะมีพฤติการณ์รับแลกเงินและสแกนรับเงินห่างจุดขายแบบผิดปกติ
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะดำเนินการเอาผิดกับร้านค้าที่ทุจริตในโครงการฯ อย่างถึงที่สุด พร้อมทั้งจะดำเนินการเรียกเงินคืนจากร้านค้าเต็มจำนวนตามที่รัฐได้โอนให้แก่ร้านค้าและดำเนินคดีต่อไป
ถ้าใครที่ติดตามข่าวนี้อาจเห็นฝั่งร้านค้าออกมาชี้แจงว่า ที่เขาบวกราคา VAT 7% เข้าไปก็เพื่อรองรับกับต้นทุนภาษีที่อาจเพิ่มขึ้นหลังจากตัดสินใจรับคนละครึ่ง พลัส แต่หลังจากพาณิชย์จังหวัดลงไปอธิบายก็มีข่าวว่า ร้านค้ายอมรับความเข้าใจที่ผิดและจะแก้ไขให้ถูกต้อง
จากข่าวนี้หลายคนอาจสงสัยว่า สรุปแล้ว VAT 7% คืออะไร และร้านค้าที่มีภาษี VAT คือกลุ่มไหนบ้าง Thairath Money จึงสรุปมาไว้ที่นี่แล้ว
นิยามของ VAT ตามกรมสรรพากรคือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) ที่จะเก็บภาษีจากการขายสินค้า หรือการให้บริการในแต่ละขั้นตอนการผลิต และจำหน่ายสินค้าหรือบริการ ทั้งที่ผลิต ภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ
เงื่อนไขหลักคือ ผู้ประกอบการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการ (ยอดขายไม่ใช่กำไร) เกิน 1.8 ล้านบาท/ปี ต้องยื่นจดทะเบียน VAT ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีรายรับเกิน แต่ยังมีผู้ประกอบการกลุ่มอื่นๆ ที่ต้องยื่นจดทะเบียนฯ ด้วย เช่น ผู้ประกอบการที่กำลังเตรียมเปิดกิจการ, ผู้ประกอบการที่อยู่ต่างประเทศ (แต่มีตัวแทนฯ ในไทย ต้องการจดทะเบียนแทน) เป็นต้น ดังนั้นใครที่วางแผนทำธุรกิจอาจหาข้อมูลเจาะลึกหรือสอบถามสรรพากรเพื่อความชัดเจน
แต่ถ้าเราทำธุรกิจและมีรายรับหรือยอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี แล้วไม่จดทะเบียน VAT ให้เรียบร้อยจะเจอกับอะไร แน่นอนว่ามีความผิดตามกฎหมาย ถ้าถูกตรวจสอบเจอ โดยข้อมูลจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาระบุว่า
- มีโทษทางอาญา โดยจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- เสียภาษีมูลค่าเพิ่มย้อนหลังตามยอดขายที่เกิดขึ้นจริง
- เสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระในแต่ละเดือน
- เสียเงินเพิ่มในอัตรา 1.5% ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ
หลายคนคงเข้าใจภาพของ VAT มากขึ้น และสำหรับผู้บริโภคที่ใช้คนละครึ่งแล้วพบผู้ประกอบการที่ฉวยโอกาสปรับราคาสินค้า คิด VAT เพิ่มโดยไม่เป็นธรรม สามารถแจ้งสายด่วนกรมการค้าภายใน โทร. 1569 ขณะเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้เปิดสายด่วนเฉพาะกิจเพื่อรับเรื่องร้องเรียนโครงการคนละครึ่งพลัสเพิ่มเติม และสามารถร้องเรียนออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ สคบ. ได้เลย
ที่มา : กรมสรรพากร, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, iTAX, สภาองค์กรผู้บริโภค
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney