
ต้องยอมรับว่า ตลอดช่วงปี 2568 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเรา เต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งจากปัจจัยภายใน และ ปัจจัยภายนอก ยากเกินควบคุม ส่งผลต่อค่าครองชีพ ดอกเบี้ยสูง และ “หนี้สิน” ยังอยู่ครบ จนใครหลายๆคน รู้สึกว่า เงินที่หามาได้ หายเร็วขึ้น ทั้งๆที่ รายได้เท่าเดิม และการฝากชีวิตไว้กับ “เงินเดือน” ทางเดียว คือ ความเสี่ยงสูงสุด เรื่อยไปจนถึง การรอคอยโบนัส หวังยกระดับคุณภาพชีวิต คือ เรื่องเพ้อฝัน และนี่คือ บทเรียนการเงินที่คนวัยทำงานควรเก็บไว้ ก่อนจะเริ่มปี 2569 ด้วย “สติ และ ความสามารถทางการเงิน “ ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
แม้ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.- ก.ย.) เงินเฟ้อไทย อยู่ในภาวะ “ติดลบ” จนเกือบเข้าขั้น “เงินฝืด” เพราะราคาพลังงานโลกปรับลดลง แต่ถ้าสังเกต จะพบว่า “เงินเฟ้อของชีวิตจริง” อย่าง อาหาร ค่าเดินทาง ค่ารักษา กลับยังพุ่งสูงขึ้น เช่น กาแฟที่เคยแก้วละ 45 บาท ปัจจุบัน ราคากระโดดไปถึง 60 บาท ,ค่าเติมน้ำมัน จ่ายเท่าเดิม แต่ได้ปริมาณลดลง หรือ กรณีล่าสุด รถไฟฟ้าบีทีเอส เพิ่งปรับ อัตราค่าโดยสารใหม่ ในเส้นทางส่วนต่อขยาย BTS สายสีเขียว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป เป็น 17 - 45 บาท จากที่เคยเริ่มต้น 15 บาท
ทั้งหมดสะท้อนว่า คำว่า “เงินเฟ้อ” ไม่ใช่เรื่องของนักเศรษฐศาสตร์ หรือ ภาษาคมคายชวนสงสัยในหน้าข่าว แต่คือ “ศัตรูเงียบ” ของเงินเดือนประจำอย่างแท้จริง นี่คือเหตุผลที่คนวัยทำงานยุคนี้ ต้อง “รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเงิน” มากกว่ารู้แค่ “วิธีหาเงิน”
ปีนี้เป็นอีกหนึ่งปี ที่เราได้เห็นทั้ง “ความปวดใจ” และ “บทเรียนราคาแพง” ของคนเป็นหนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทย ยังสูง 90%ต่อจีดีพี กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ทำให้หลายคนตกอยู่ในวงจรหนี้โดยไม่ทันตั้งตัว และเมื่อขาดความรู้ทางการเงินที่เพียงพอ การจัดการหนี้จึงกลายเป็นเรื่องยากสำหรับครัวเรือนและนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ในที่สุด เพื่อไม่รู้เท่าทันคำว่า “ดอกเบี้ย” ยิ่งดอกเบี้ยสูง ภาระหนี้ยิ่งยืดยาว
ขณะที่บางคนเริ่มหมุนเงินไม่ทัน เพราะรายได้ไม่ขยับตามต้นทุนทางการเงินที่พุ่งขึ้นและนี่เองที่ทำให้คำว่า “ภาระหนี้” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ในภาวะดอกเบี้ยสูงเช่นนี้ คนที่ยังจ่ายหนี้ขั้นต่ำอยู่ อาจกำลังเผชิญกับกับดักที่มองไม่เห็น เพราะทุกเดือนที่จ่ายไป ส่วนใหญ่คือ “ดอกเบี้ย” ไม่ใช่ “เงินต้น” ยิ่งผ่อนนาน ยิ่งจ่ายแพงขึ้น โดยไม่ได้เข้าใกล้คำว่า “หมดหนี้” เลยแม้แต่น้อย
บทเรียนสำคัญของปีนี้ คือ ต้องเริ่ม “จัดลำดับหนี้” ใหม่ ชำระหนี้ดอกเบี้ยสูงก่อน (เช่น บัตรเครดิต / สินเชื่อส่วนบุคคล)และหากมีหลายบัญชี ให้ใช้วิธี Snowball (จัดการหนี้ก้อนเล็กสุดก่อน) หรือ Avalanche (จัดการหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงสุดก่อน) เพื่อให้เห็นความคืบหน้าและไม่หมดแรงกลางทาง เพราะดอกเบี้ยสูงไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่มันคือช่วงเวลาแห่งการทดสอบ “วินัยทางการเงิน” ว่าเราจะปล่อยให้หนี้คุมชีวิต หรือจะเริ่มคุมหนี้ให้ได้ก่อนขึ้นปี 2569
ช่วงปีที่ผ่านมา เราเห็นเทรนด์คนรุ่นใหม่ หรือ แม้แต่คนที่ไม่เคยสนใจเรื่องการลงทุนเลย หันมา “ลงทุน” มากขึ้น ทั้งในหุ้น ทองคำ คริปโตฯ หรือกองทุนต่าง ๆ เพราะเชื่อว่า “เงินต้องงอกเงย” “เงินต้องทำงาน” ถึงจะไม่แพ้เงินเฟ้อ แต่ในอีกมุมหนึ่ง เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด เช่น การเลิกจ้าง ป่วยกะทันหัน หรือรายจ่ายในบ้านพุ่งขึ้นหลายคนกลับไม่มีเงินสดในมือไว้รับมือกับเหตุการณ์เหล่านั้น
บางคนต้องขายสินทรัพย์ในจังหวะขาดทุน บางคนต้องกู้เงินเพิ่ม เพื่อเอามาใช้ยามฉุกเฉิน สิ่งเหล่านี้คือภาพสะท้อนว่า “การลงทุนอย่างเดียว” โดยไม่มีเงินสำรอง คือ การเดินบนเชือกที่ไม่มีตาข่ายรองรับ แม้ผลตอบแทนจากคริปโตฯ หรือหุ้นจะดูน่าดึงดูด แต่สินทรัพย์ที่มั่นคงที่สุดในยามวิกฤติจริง ๆ คือ บัญชีที่มีเงินสำรองอย่างน้อย 3-6 เดือนของรายจ่ายประจำ
ยิ่งคนที่ทำงานฟรีแลนซ์ มีความไม่แน่นอนในรายได้ บางเดือนงานเยอะ บางเดือนไม่มีงานเลย อาจจะต้องสำรองเงินฉุกเฉินไว้มากกว่ามนุษย์เงินเดือนอีก ประมาณ 1 เท่าตัวเลยทีเดียว ดังนั้น บทเรียนสำคัญก่อนขึ้นปี 2569 คือ อย่าให้เงินทุกบาทของเราทำหน้าที่ “เติบโต” จนลืมว่า บางส่วนของมันต้องมีไว้เพื่อ “ปกป้อง” เราด้วย
มีข่าวคราวมากมาย ว่าในปี 2568 หลายบริษัทเลิกจ้าง ,,ลดโบนัส, ชะลอขึ้นเงินเดือน เรื่อยไปจนถึง เปิดโครงการเกษียณก่อนกำหนด (Early Retirement) ด้วยเหตุผลที่ว่า เพราะเศรษฐกิจโตต่ำ หรือ การนำ AI เข้ามาทดแทนกำลังคน กลายเป็นความเปราะบางกับค่านิยมเดิมๆ ที่หลายคน มักตั้งความหวังกับ “โบนัสปลายปี” เพื่อเอามาเคลียร์หนี้ หรือปรับคุณภาพชีวิตนี่คือสัญญาณชัดเจนว่า การฝากอนาคตไว้กับรายได้ทางเดียว ไม่เพียงพออีกต่อไป
ในยุคที่รายได้ไม่แน่นอน แต่ค่าใช้จ่ายกลับแน่นอนเสมอ สิ่งที่คนวัยทำงานต้องทำ คือ “สร้างระบบรายได้ของตัวเอง” อาจเริ่มจากการยกระดับสกิล เพื่อเพิ่มมูลค่าในงานที่ทำหรือใช้เวลาว่างสร้างพอร์ตงานเล็ก ๆ เช่น งานฟรีแลนซ์ เขียนคอนเทนต์ รับงานดีไซน์ เรียนคอร์สออนไลน์ เพื่อเพิ่มความรู้เฉพาะทาง
หรือแม้แต่การนำความถนัดเดิมมาต่อยอด เช่น ทำอาหาร ขายของออนไลน์ สอนพิเศษ เพราะรายได้เสริมวันนี้ อาจกลายเป็นรายได้หลักในวันหน้าและสิ่งที่ทำให้เรารอดพ้นจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ไม่ใช่ “โบนัสก้อนโต” ที่รออยู่ปลายปี แต่คือ “ความสามารถในการสร้างรายได้หลายทาง” ที่เราคุมได้ด้วยตัวเอง
แม้เรื่องภาษี เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก และหลายคนอยากหนีให้ไกลที่สุด แต่ลืมคิดไปว่า นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องเจอ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะ พนักงานประจำ ฟรีแลนซ์ หรือ เจ้าของธุรกิจ ขณะสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักพลาด ก็คือ “ค่อยมาคิดตอนจะยื่น” มากกว่า “คิดก่อนปีจะจบ”
ผลคือเสียโอกาสในการวางแผนเพื่อลดหย่อนภาษี ทั้งที่สามารถ “ประหยัดเงินในกระเป๋า” ได้ตั้งแต่ต้นปี เพราะการวางแผนภาษีไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่คือ การจัดการชีวิตการเงินของตัวเองอย่างมีเป้าหมาย เพราะเงินที่เราลงไปในกองทุน SSF, RMF, ประกันชีวิต หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไม่ใช่เพียงเงินที่ช่วยลดหย่อนภาษีเท่านั้น
แต่มันคือ เงินสำรอง ที่มีผลต่อทิศทางของชีวิต ไม่ว่าจะเก็บ จะลงทุน หรือ จะป้องกันความเสี่ยง เมื่อมองเช่นนี้ ภาษีจึงไม่ใช่ภาระ แต่เป็นโอกาสที่จะใช้ “สิทธิของเรา” ในการสร้างความมั่นคงระยะยาวให้กับชีวิต และหากเริ่มวางแผนอย่างถูกวิธีตั้งแต่วันนี้เราอาจไม่เพียงแค่จ่ายภาษีน้อยลง แต่ยังได้เห็นภาพอนาคตทางการเงินของตัวเอง “ชัดเจนขึ้น” กว่าที่เคย
ที่มา : กรมสรรพากร , สมาคมวางแผนการเงินไทย ,ธนาคารออมสิน ,สมาคมประกันชีวิตไทย ,อลิอันซ์ อยุธยา
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney