
“ทองคำ” หนึ่งในสินทรัพย์ที่นักลงทุนหันไปทุ่มเงินให้มากที่สุดในปีนี้ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ใคร ๆ ก็ต้องการครอบครอง แต่ตอนนี้ราคาทองคำมีความผันผวนหนัก ซึ่งทำให้นักลงทุนหลายคนกังวลว่าจะไปต่อหรือพอก่อนดี?
เชื่อว่าช่วงนี้หลายคนคงเห็นว่าราคาทองคำกำลังผันผวนหนัก เดี๋ยวปรับพุ่งสูง เดี๋ยวดิ่งลง ล่าสุดมีการปรับราคาทองคำไทยครั้งที่ 1 ของวันที่ 29 ต.ค. ปี 68 เพิ่ม 900 บาท ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ณ เวลา 9.03 น. โดยมีราคาดังนี้
ทองแท่ง
ทองรูปพรรณ
แม้วันนี้ราคาจะปรับขึ้น แต่หากย้อนกลับไปเมื่อสองวันที่ผ่านมา (วันที่ 27-28 ต.ค. ปี 68) ราคาทองคำไทยมีการปรับลดลงไปแล้วกว่า 3,800 บาท ทำให้นักลงทุนหลายคน “ติดดอย” โดยเฉพาะคนที่ซื้อในตอนที่ราคา 67,400 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาสูงสุดของราคาทองคำ (ข้อมูลราคาทองคำแท่งขายออก ณ วันที่ 17 ตุลาคม 2568 (ครั้งที่ 7))
ซึ่งทางธนาคารกรุงศรีอยุธยา เคยระบุเอาไว้ว่า ความเสี่ยงติดดอยของการลงทุนทองคำนั้นสามารถเกิดขึ้นได้เสมอหากเราเข้าซื้อทั้งหมดในครั้งเดียวในขณะที่ราคาสูง แต่หากมองแนวโน้มราคาทองคำปี 2568 ในระยะยาวที่ยังเป็นขาขึ้น การใช้กลยุทธ์ทยอยซื้อ (DCA) จะช่วยเฉลี่ยต้นทุน และลดความเสี่ยงการติดดอยได้
บริษัท อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด จำกัด ได้ให้คำแนะนำการลงทุนสำหรับผู้ที่ติดดอยว่า สามารถรอดูสถานการณ์ต่ออีก 1 สัปดาห์ก่อนตัดสินใจว่าจะไปทางไหนต่อ ทั้งนี้ หากราคาทองคำเข้าสู่รอบการพักฐานจริง จังหวะการเข้าซื้อรอบใหม่อาจอยู่ในช่วงปลายพฤศจิกายนถึงธันวาคม ซึ่งตลาดจะเริ่มเก็งกำไรการลดดอกเบี้ยรอบถัดไปของเฟดอีกครั้ง
และถ้าถามว่าเราจะมีแนวทางการลงทุนกับทองยังไงไม่ให้ติดดอยได้บ้าง? ธนาคารกรุงศรีอยุธยาให้คำแนะนำให้เราถามตัวเองด้วย 3 เช็กลิสต์นี้ก่อนลงทุน ได้แก่
1. ตัวเรามองทิศทางเศรษฐกิจและดอกเบี้ยยังไง?
ถามตัวเองก่อน เราเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ไหม? เพราะการลดดอกเบี้ยจะส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าและเป็นผลดีต่อราคาทอง หรือเรามองว่าความไม่แน่นอนของโลกยังคงดำเนินต่อไปและทองคำยังจำเป็นต้องมีในฐานะที่พักเงินที่ปลอดภัยอยู่หรือเปล่า?
ถ้าคำตอบของคำถามข้างต้นคือ “ใช่” การลงทุนในทองคำก็ยังถือว่าน่าสนใจสำหรับเราอยู่
2. เรามี “เงินเย็น” ที่พร้อมลงทุนระยะยาวไหม?
ทองคำไม่ใช่สินทรัพย์ที่เหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้น หรือเอา “เงินร้อน” มาลงทุนเนื่องจากทองคำไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย หรือเงินปันผล ผลตอบแทนจะมาจากส่วนต่างราคาเท่านั้น ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลา การลงทุนในทองคำจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มี “เงินเย็น” ที่สามารถลงทุนทิ้งไว้ได้อย่างน้อย 1-3 ปีขึ้นไป โดยไม่กระทบกับสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน
3. คุณมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนแค่ไหน ?
นักลงทุนจำนวนมากซื้อทองเพราะ “กลัวตกขบวน” (FOMO) โดยไม่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน ซึ่งเสี่ยงต่อการ “ติดดอย” อย่างมากหากเข้าซื้อทั้งหมดในช่วงที่ราคาสูงไปแล้ว กลยุทธ์ที่ Krungsri The COACH แนะนำจึงเป็นการทยอยลงทุนแบบ DCA ซึ่งเป็นการแบ่งเงินเข้าซื้อเป็นงวด ๆ เพื่อเฉลี่ยต้นทุน และลดความเสี่ยงจากการเข้าลงทุนผิดจังหวะ
และสำหรับคนที่กำลังคิดว่าซื้อทองดีไหมในช่วงนี้ Thairath Money ได้รวบรวมบทวิเคราะห์แนวโน้มราคาทองคำล่าสุด (29 ต.ค. ปี 68) มาดังนี้
วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล (YLG) มองแนวโน้มของราคาทองคำเป็นแบบ Sideway แนะนำกลยุทธ์เสี่ยงซื้อหากไม่หลุด 3,886-3,875 ดอลลาร์สหรัฐ และตัดขาดทุนหากหลุด 3,875 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรอดูทิศทางการเคลื่อนไหวอีกครั้ง
สำหรับราคาทองคำในประเทศ มีแนวรับอยู่ที่ 59,300 บาท, 58,900 บาท, 58,050 บาท ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 61,600 บาท, 62,150 บาท, 63,350 บาท
ด้าน ฮั่วเซ่งเฮง มีความเห็นว่า ต้องจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต่อ หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอาจหนุนราคาทองคำได้ระดับหนึ่งแต่ไม่มากนัก สำหรับคนที่มีทองคำอยู่แล้วให้ลงทุนเป็นระยะสั้น ขายออกไปก่อนรอฟื้นตัว และตัดขาดทุนที่ 4,050 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่วนราคาทองคำในประเทศมองแนวรับอยู่ที่ 59,900 บาท หรือ 59,550 บาท และแนวต้าน 61,200 บาท หรือ 62,500 บาท
อย่างไรก็ดี อย่าลืมว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาให้ดีก่อน และควรลงทุนในทองคำในสัดส่วนที่เหมาะสม และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
ที่มา: ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, YLG, ฮั่วเซ่งเฮง, InterGold
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney