เคล็ดลับจับเงิน ‘ล้านแรก’ ฉบับ “ว่าน ธนกฤต” กับข้อผิดพลาดเสียเงิน 2 ล้าน เพราะความชิลล์

Personal Finance

Financial Planning

ชญานิษฐ์ เชื้อกสิการ (โฟม)

ชญานิษฐ์ เชื้อกสิการ (โฟม)

Tag

เคล็ดลับจับเงิน ‘ล้านแรก’ ฉบับ “ว่าน ธนกฤต” กับข้อผิดพลาดเสียเงิน 2 ล้าน เพราะความชิลล์

Date Time: 28 ต.ค. 2568 16:40 น.

Video

“ตะวันออกกลาง” ความหวังใหม่ดันรายได้ท่องเที่ยว เปิดอินไซด์จากทริป Etihad สายการบินเชื่อมโลก | BrandStory EP.28

Summary

ว่าน-ธนกฤต พานิชวิทย์ ศิลปิน-นักแต่งเพลง ผันตัวสู่ผู้บริหารที่ไม่ได้มีแค่เสียงเพลงที่ครองใจผู้คน แต่ยังมาพร้อมมุมมองการบริหารเงินที่ "เฉียบคม" และ "ตรงไปตรงมา" โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนรุ่นใหม่ จาก "แสนแรก" ที่ต้องทุ่ม "ลงทุนกับตัวเอง" สู่การคว้า "ล้านแรก" ที่ต้อง "Work ไปก่อน" ค่อยมองหา Balance รวมถึงความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ทำให้เงิน 2 ล้านบาทหายไป!

ในโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความผันผวน “ว่าน-ธนกฤต พานิชวิทย์” ไม่ได้เป็นแค่ศิลปินเจ้าของเพลงฮิตเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมบทบาทผู้บริหารและนักคิดที่เชื่อว่า “การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนกับตัวเอง” 

เวที Thairath Money Campus Tour 2025 Season 2 ณ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ว่าน - ธนกฤต พานิชวิทย์ ศิลปิน - นักแต่งเพลง, ผู้บริหารบริษัท โซโล่อิสท์ จำกัด ได้ร่วมแชร์แนวคิด และการบริหารเงินส่วนตัวว่า แม้รายได้หลักของเขาจะยังคงมาจากการ ร้องเพลง และอุตสาหกรรมบันเทิงเป็นหลัก แต่การปรับตัวและวางแผนทางการเงินที่เหมาะสมถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่โลกของการทำงาน

แสนแรกที่ต้องลง "กับตัวเอง" และความท้าทายที่รออยู่

ท่ามกลางความท้าทายมากมายในยุคปัจจุบัน ทั้งเรื่องของค่าเงิน การลงทุนที่ผันผวน ว่าน ธนกฤต ได้ให้คำแนะนำอย่างชัดเจนสำหรับน้องๆ ที่กำลังเริ่มต้นเก็บเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แสนแรกในวัยยังไม่ถึง 30 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ความรวดเร็วในการเรียนรู้คือ อาวุธสำคัญที่สุด

เขาเน้นย้ำว่า เงินก้อนแรกนี้ควรถูกใช้ไปเพื่อ อัปเกรดอุปกรณ์ในการทำงานและเติมเต็มองค์ความรู้ หรือพูดง่ายๆ คือ ลงทุนกับตัวเองก่อน เป็นอันดับแรก เพื่อให้เราสามารถสร้างชิ้นงานได้มากกว่าและมีโอกาสเติบโตไปข้างหน้าได้ เพราะในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยคนเก่งที่เทียบเท่าเรา “มันช้ากว่าคนอื่นไม่ได้แม้แต่ชั่วโมงเดียว”

ล้านแรกที่ต้อง “Work” ไปก่อน แล้วค่อย “Balance”

เมื่อก้าวเข้าสู่วัยใกล้ 30 ปี หากใครที่กำลังเริ่มมีเงินเก็บแตะเลข 6 หลักกำลังจะเข้าหลักที่ 7 ว่าน ธนกฤต ยอมรับว่า เงินล้านแรกมักเป็นก้อนที่ยากที่สุด แต่สิ่งสำคัญที่ต้องทำไม่ต่างจากแสนแรก คือ อย่าลืมเจียดเงินส่วนหนึ่งไว้พัฒนาตัวเองเสมอ เพื่อคงความเฉียบคมในอาชีพเฉพาะทาง จากนั้นจึงสามารถเริ่มจัดสรรเงินไปสู่การออม การลงทุน หรือแม้แต่การเดินทางท่องเที่ยว 

สำหรับประเด็นเรื่อง Work-Life Balance ที่หลายคนสงสัยว่าควรเริ่มเมื่อไหร่ เขาให้มุมมองที่ต่างออกไป โดยมองว่าในระยะเริ่มต้นควร “Work ไปก่อน” แม้จะยังไม่สมดุลก็ตาม เพราะเป็นการลองวัดกำลังใจและความอึดในการทำงานอย่างหนัก พอเมื่อเริ่ม จับเงินล้านแรกได้แล้ว ค่อยมองหาความสมดุล (Balance) ในการทำงานที่เหมาะสมกับตัวเอง เช่น ทำงาน 4 วัน และหาเวลาไปเรียนรู้สิ่งใหม่ 1 วัน

นอกจากนี้ การขยายธุรกิจหรือการทำงานร่วมกันก็เป็นสิ่งจำเป็น เขาแนะนำให้ มองหาเพื่อนคู่คิดและเพื่อนร่วมงาน ซึ่งคุณสมบัติแรกคือต้อง ไม่คดโกง และสามารถเป็น "มือ เป็นแขน เป็นขา และเป็นสมอง" อีกด้านที่เติมเต็มสิ่งที่เราขาดไปได้

ส่วนประเด็นที่คนส่วนใหญ่มักกลัวเรื่องการ ลงทุนร่วมกับเพื่อน เพราะอาจทำให้ความสัมพันธ์พังทลาย ว่าน ธนกฤต มองต่างออกไป เพราะเขาเชื่อว่าต่อให้ไปลงทุนกับคนแปลกหน้า หากคนเราจะคดโกงมันก็จะเกิดขึ้นอยู่ดี ดังนั้น ทำธุรกิจกับเพื่อนไม่ผิด แต่ควรจะเลือกคบเพื่อนตั้งแต่แรก และต้องยอมรับว่าปัญหาความขัดแย้งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่าคู่ค้าจะเป็นใคร

บทบาทของ “ธนาคารแม่” และความเสี่ยงของเงินที่นิ่งเฉย

เมื่อพูดถึงนิยามของ ความมั่นคงทางการเงิน ว่าน ธนกฤต มองว่า “เงินที่มากไม่ได้แปรผันไปตามความสุขที่มากขึ้น” มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล และหลายคนที่มีเงินมากก็ยังคงทำงานเพื่อพัฒนาองค์กรหรือสังคมต่อไป

สำหรับระบบการจัดการเงินส่วนตัวของเขาเอง ซึ่งไม่ได้ร่ำเรียนด้านการเงินมาเลย เขาเริ่มต้นด้วย “ระบบธนาคารแม่” โดยให้คุณแม่เป็นผู้บริหารจัดการเงินทั้งหมด ซึ่งแม้ดอกเบี้ยจะน้อย แต่ความเสี่ยงในการถูกโกงก็ต่ำที่สุด 

จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่เขาเลี่ยงไม่ได้และต้องหันมาศึกษาการเงินด้วยตัวเอง จึงได้เห็นโครงสร้างว่าเงินที่หามาถูกนำไปลงทุนในรูปแบบใดบ้าง ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต แบบออม ทุน ทอง หรือกองทุนต่างๆ เสมือนคุณแม่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล

เขาได้เน้นย้ำถึงสิ่งที่มองเห็นว่าเป็น เรื่องอันตรายที่สุด ในการบริหารเงิน คือ การเอาเงินวางไว้เฉยๆ เพราะนอกจากเงินจะไม่เติบโตแล้ว ยังไม่สามารถต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นเราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะ ลองเสี่ยง เพื่อสะสมประสบการณ์ และให้เงินต้นไม่หายไป และที่สำคัญคือ ไม่ควรเอาทุกอย่างไปไว้ในกองเดียว ต้องกระจายความเสี่ยง

บทเรียนจากความผิดพลาดกับเงิน 2 ล้านบาท ที่สอนให้ต้องติดตามข่าวสาร

นอกจากนี้ ว่าน ธนกฤต ยังได้เปิดเผยความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตการเงินและการลงทุน โดยเกิดจากความที่ไม่เคยร่ำเรียนด้านการลงทุนมา และความเพิกเฉยต่อการศึกษาข้อมูลที่เป็นปัจจุบันอยู่ตลอด

เขาเล่าว่า มีการลงทุนในกองทุนขนาดเล็กหลายจุด ซึ่งไม่ได้ติดตามเงื่อนไขอย่างใกล้ชิด และชิลเกินไป จนกระทั่งกลับมาดูตัวเลขอีกครั้งก็พบว่าต้อง เจ็บตัวไปประมาณ 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ต้องเสียไปจริงๆ เนื่องจากกองทุนไม่มีการดำเนินกิจการต่อไป ทำให้ได้บทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์นี้ว่า “หลังจากนี้จะ ไม่พลาดติดตามข่าวสารด้านการลงทุนแบบรายไตรมาสอีกต่อไป”

การบริหารเงิน-การลงทุน สไตล์ ‘ว่าน ธนกฤต’

ว่าน ธนกฤต ยอมรับตามตรงว่า ณ ตอนนี้เขายัง ไม่ได้มีอิสรภาพทางการเงินทั้งหมด เพราะยังอยู่ในจักรวาลที่มี หนี้สิน ผูกพันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโด แต่เขาก็มี Passive Income จากลิขสิทธิ์เพลงและยอดวิวออนไลน์ที่ดีมากเพียงพอ ที่จะทำให้สามารถมีเวลาให้กับตัวเอง หากไม่เพิ่มภาระหนี้สินใหม่

ดังนั้นหากย้อนเวลากลับไปได้ในสมัยที่กำลังเรียน จึงอยากบอกตัวเองว่า แม้ "ธนาคารแม่" จะมีข้อดีเรื่องความไว้ใจ แต่ วิธีการลงทุนของคนรุ่นก่อนหน้าอาจไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดเรื่องการซื้อที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า ที่เคยถูกมองว่ามีความมั่นคงที่สุด เพราะโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว หากคอนโดหรืออสังหาฯ นั้นไม่ถูกเช่า มันก็จะกลายเป็นภาระที่ต้องหาเงินมาผ่อนแทน ดังนั้นการลงทุนต้องพิจารณาความจำเป็นและสถานการณ์ปัจจุบันด้วย

สำหรับการลงทุนสไตล์ ว่าน ธนกฤต เขามีพอร์ตการลงทุนที่ความหลากหลาย ทั้งเคยลองลงทุน คริปโตเคอร์เรนซี แต่พบว่าความผันผวนของกราฟที่วิ่งเป็นวินาทีทำให้ ใจเต้นเร็วเกินไป และไม่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองจึงเลิกไป ส่วน ทอง เป็นการออมที่ทำมานานตามแผนที่กำหนดไว้ในแต่ละปี สำหรับ หุ้น ที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ เพิ่งเริ่มต้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนงานศิลปะมีซื้อไว้บ้างเพราะความชอบส่วนตัวเท่านั้น ไม่ได้มองเป็นการลงทุน

สุดท้ายนี้เขาได้ทิ้งท้ายด้วยคำแนะนำที่ครอบคลุมทั้งชีวิตและการบริหารทรัพย์สิน โดยย้ำว่า “เพดานความสุขของคนเราไม่เท่ากัน” ดังนั้นจงแบ่งเงินส่วนหนึ่งในสัดส่วนที่เรายังคงมีความสุขในการใช้ชีวิตเก็บไว้ เพื่อการออมและการลงทุน เพราะในยุคนี้คงต้องเปลี่ยนคำอธิบายว่า “มันไม่มีอะไรแน่นอน แต่สิ่งที่แน่นอนคือความสำเร็จที่เราสะสมไว้” เพื่อเป็นทุนของเราในวันข้างหน้า ส่วนจะต่อยอดไปในทิศทางใด ก็ขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของแต่ละคนอย่างแท้จริง

ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney