
“หาเงินมาเยอะ ๆ นะพ่อ... 15 ล้านน่ะ มันแค่ค่าเล่าเรียน
แล้ว 12 ปีต่อจากนี้ ห้ามป่วย ห้ามเจ็บ ห้ามตายนะ”
คำพูดจาก “จ๋า” ภรรยาของ “โต” ตัวละครเอกในซีรีส์ดัง “ลักกันวันตาย” ที่กำลังออนแอร์อยู่ใน Netflix ตอนนี้ กลายเป็นประโยคที่สะกิดใจพ่อแม่จำนวนมาก เพราะมันไม่ใช่แค่คำพูดของ “ตัวละคร” แต่มันคือเสียงของพ่อแม่จริง ๆ ที่กำลังดิ้นรนอยู่ในโลกทุนนิยมไทยในยุคปัจจุบัน
โลกที่ “การศึกษา” กลายเป็นสินค้าราคาแพง และ “โอกาส” ที่ถูกขายเป็นแพ็กเกจแบบพรีเมียมเท่านั้น จนบางคนซื้อไม่ได้ ถ้ามีเงินไม่มากพอ
ซีรีส์ลักกันวันตาย เล่าถึงเรื่องราวของ “โต” พ่อคนหนึ่งที่เป็นพนักงานธนาคาร ตัดสินใจยักยอกเงินจากบัญชีคนตาย เพื่อเอามาใช้จ่ายค่าเทอมลูก ซึ่งแรงบันดาลใจของการก่อเหตุ ไม่ใช่เพราะเขาโลภ แต่เพราะเขา “กลัว” กลัวว่าลูกจะถูกระบบทิ้งไว้ข้างหลัง ,กลัวว่าความไม่มีจะสืบทอดต่อรุ่น และกลัวว่าลูกจะไม่มีที่ยืนในสังคมที่ “ต้นทุนชีวิต” เริ่มจากชื่อโรงเรียน
ซึ่งนี่ล้วนเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ไม่ใช่แค่บทในซีรีส์ เพราะหากลองมองไปรอบๆตัวเรา จะพบว่า ปัจจุบัน มีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยกำลัง “ขโมยอนาคต” ตัวเองอยู่ในทุกๆวัน บางคนกู้เงินเพื่อจ่ายค่าเทอมลูก บางคนถอนเงินเกษียณออกมาก่อนเวลา และบางคนทำงานสองกะ หารายได้หลายทาง หมุนตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต เพื่อหวังซื้ออนาคตให้ลูก ผ่านการศึกษา หรือ โรงเรียนที่เขาว่าดีที่สุด
ขณะที่ในโลกที่ทุกอย่างถูกตีด้วยมูลค่า คำว่า “เพื่อลูก” กลายเป็นใบอนุญาตให้เราทำทุกอย่างได้ แม้กระทั่งทำร้ายตัวเอง และทำร้ายผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่ “ลักกันวันตาย” สะท้อนอย่างแสบสันต์อีกอย่างหนึ่ง คือภาพของ “ระบบการศึกษาไทย” ที่ถูกบิดด้วยเศรษฐกิจ โดยที่โรงเรียนไม่ได้แข่งกันเรื่องหลักสูตรอีกต่อไป แต่แข่งกันเรื่อง “สังคม” และ “ภาพลักษณ์”
ค่าแป๊ะเจี๊ยะกลายเป็นเรื่อง “ธรรมดา” การตลาดของโรงเรียนพูดถึง “คอนเนคชัน” มากกว่า “การเรียนรู้” โดยที่พ่อแม่จำนวนไม่น้อยก็พร้อมเล่นเกมนี้ด้วย เพราะกลัวลูกจะ “ตกขบวน”
จนหลายคนอยากลองถามตัวเองเงียบ ๆ ว่าที่เรายอมจ่ายค่าเทอมแพงๆ เพราะเชื่อว่าโรงเรียนดีจริงหรือเพราะกลัวว่าลูกเราจะ “ดูด้อยกว่า” ลูกคนอื่น? จนบางครั้ง การศึกษา ไม่ต่างอะไรกับสนามแข่งของพ่อแม่ มากกว่าพื้นที่เรียนรู้ของลูก
อีกด้านของซีรีส์นี้คือ “จ๋า” ภรรยาของโต วิศวกรเครื่องบิน ที่ยอมลาออกจากงาน เพื่อทุ่มเทดูแลลูกเต็มเวลา เพราะเชื่อว่า “ไม่มีใครเลี้ยงลูกได้ดีเท่าแม่”มันคือภาพที่หลายบ้านรู้จักดี
แม่ลาออกจากงาน เพราะอยากให้ลูกได้ดีที่สุด พ่อทำงานหนักขึ้น เพื่อแบกทั้งบ้านไว้คนเดียว แต่สิ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงคือ ผลข้างเคียงทางการเงิน ของการตัดสินใจนั้น รายได้ครอบครัวลดลงครึ่งหนึ่ง แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้นเท่าตัว
ทั้งค่าเทอม ค่าเสริมทักษะ ค่ากิจกรรมพิเศษ และค่าใช้จ่ายที่ไม่รู้จบ เพื่อทำให้เด็กอาจเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี แต่พ่อแม่กลับค่อย ๆ หมดแรงทางใจ หมดไฟในชีวิต และหมดเงินในบัญชี จนวันหนึ่ง ความเครียดแทรกกลางวงข้าวเย็น
“ทำไมไม่บอกกันว่าเงินไม่พอ?”
คำถามง่าย ๆ ที่หลายบ้านพูดไม่ได้ เพราะเรื่องเงินกลายเป็นเรื่อง “ห้ามพูด”ในบ้านที่พยายามทำให้ทุกอย่างดู “สมบูรณ์แบบ”
ในสังคมที่ “ความดี” ของพ่อแม่ ถูกวัดด้วยความสามารถในการให้ คำถามที่ควรถามกลับคือ แล้วเรากำลังให้สิ่งที่ลูกต้องการจริง ๆ หรือเปล่า เพราะบางที ลูกไม่ได้ต้องการโรงเรียนที่ค่าเทอมแพงที่สุด แต่อยากได้พ่อแม่ที่ไม่ทะเลาะกันเรื่องเงินทุกเดือน บางทีเขาไม่ได้ต้องการทักษะพิเศษสิบอย่าง แต่อยากได้แค่เวลานั่งกินข้าวเย็นพร้อมหน้าโดยไม่มีใครเปิดโน้ตบุ๊กเรามักพูดว่า “อยากให้ลูกสบาย” แต่คนที่เหนื่อยที่สุดในบ้าน กลับกลายเป็นพ่อแม่
ในเรื่องนี้ เพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพเด็ก การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และการเลี้ยงลูกเชิงบวกอย่างถูกต้องตามหลักการแพทย์ ซึ่งมีผู้ติดตาม 8.3 แสนคน ได้มีการเปิดประเด็นชวนคิดจากซีรีส์เช่นกัน ว่า ความทะเยอทะยานการสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แบบเกินตัว
ไม่ว่าจะเป็น ค่าเทอม ไลฟ์สไตล์ ภาษีสังคมที่ต้องจ่าย กับความท้าทายของการทำงานและเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน ควรตั้งอยู่ในเชิงเศรษฐศาสตร์ ที่ว่า การลงทุนทุกอย่างมี “จุดคุ้มทุน”แต่ในการเลี้ยงลูก พ่อแม่มักไม่ยอมให้มีคำนี้อยู่ในสมการเลย
เพราะความรักมันไม่เคยพอและความกลัวว่าลูกจะไม่มี “ต้นทุนชีวิต” เหมือนคนอื่นทำให้เรายอมทุ่ม แม้รู้ว่า “เกินตัว”แต่ถ้าเรามองการศึกษาของลูกในฐานะ “การลงทุน” จริง ๆสิ่งที่ควรถามไม่ใช่ “โรงเรียนนี้ดีไหม” แต่คือ “ลูกเราเหมาะกับแบบไหน” เพราะสุดท้ายแล้ว โรงเรียนที่ดี ไม่ได้สร้างคนที่เก่งที่สุด แต่คือโรงเรียนที่ช่วยให้ “ลูกได้ค้นพบว่าตัวเองเก่งอะไร”
คำว่า “พอดี” อาจฟังดูธรรมดา แต่ในยุคที่ทุกอย่างแข่งขันกันจนเกินพอดี ความธรรมดานี่แหละที่ยากที่สุดจะรักษาไว้ พอดีสำหรับลูก อาจหมายถึงโรงเรียนที่สอนให้รักการเรียนรู้ ไม่ใช่กลัวสอบตก พอดีสำหรับพ่อแม่ อาจหมายถึงการไม่ต้องกู้เงินเพื่อจ่ายค่าเทอม พอดีสำหรับครอบครัว อาจหมายถึงการอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องแบกความสมบูรณ์แบบเกินไป
สุดท้ายแล้ว “อนาคตที่ดีของลูก” ไม่ได้ซื้อได้ด้วยค่าเทอม หรือคอนเนคชัน แต่มันสร้างขึ้นจาก “บ้าน” ที่เต็มไปด้วยความรัก ความเข้าใจ และความร่วมมือ ลูกอาจไม่ได้ต้องการพ่อแม่ที่เพอร์เฟกต์แค่พ่อแม่ที่อยู่ด้วยกัน แล้วไม่หายไปไหนก็พอ
ทั้งนี้ แม้ซีรีส์ “ลักกันวันตาย” อาจเป็นเรื่องแต่งแต่ความจริงที่มันสะท้อน คือชีวิตของพ่อแม่ไทยจำนวนมากที่กำลังวิ่งให้เร็วขึ้นทุกวัน เพื่อจะอยู่ให้รอดในโลกที่แพงขึ้นทุกปีและบางที... คำตอบของคำว่า “เพื่อลูก”อาจไม่ใช่ “ดีที่สุด” แต่อาจเป็นแค่ “พอดีที่สุด” ก็พอแล้ว
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney