จากกระแสไลฟ์เจนนี่ สู่คู่มือภาษีที่คนรับจ้างไลฟ์สด-ขายของออนไลน์ต้องรู้

Personal Finance

Financial Planning

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

จากกระแสไลฟ์เจนนี่ สู่คู่มือภาษีที่คนรับจ้างไลฟ์สด-ขายของออนไลน์ต้องรู้

Date Time: 17 ต.ค. 2568 19:00 น.

Video

Amazon ธุรกิจนี้เจ๋งยังไง ทำไมถึงเป็นหุ้นลูกรักของใครหลายคน ? | Digital Frontiers EP.48

Summary

ไขข้อสงสัยจากกระแสไลฟ์ของเจนนี่ที่สร้างรายได้มหาศาล คนที่รับจ้างไลฟ์ - ขายของออนไลน์จะถูกจัดเป็นเงินได้ประเภท 40(2) และ 40(8) ต้องยื่นภาษีกี่ครั้ง คำนวณยังไง พร้อมเปิดวิธีลดหย่อนฯ ให้ประหยัด

กระแสของ เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น หรือ รัชนก สุวรรณเกตุ กำลังมาแรง จากการรับงานไลฟ์สดขายสินค้าของแบรนด์ต่าง ๆ ในช่อง TikTok ของตัวเอง จนสร้างปรากฏการณ์ออเดอร์และยอดขายในแต่ละวันพุ่งหลักล้านบาท! (บางคนว่าไปถึงร้อยล้านกันแล้ว)

ทว่าเมื่อมียอดขาย เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆ หลายคนเลยสงสัยเกี่ยวกับ ‘ภาษี’ ที่ผู้รับจ้างไลฟ์สดขายสินค้า รวมไปถึงพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์จะต้องนำส่งกรมสรรพากร Thairath Money จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจเรื่องภาษีที่ใครทำธุรกิจออนไลน์ ควรรู้ไว้

เรื่องภาษีที่คนรับงานไลฟ์ - ขายของออนไลน์ต้องรู้

ขึ้นชื่อว่า “ภาษี” มีรายละเอียดยิบย่อยมากมาย เช่นถ้าเราเป็นมนุษย์เงินเดือน ที่มีรายได้จากการขายของออนไลน์ เมื่อจะยื่นภาษีจริง เราต้องแบ่งการยื่นให้ถูกประเภท ดังนั้น Thairath Money อยากชวนมาทำความเข้าใจว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีแบบไหน ซึ่งจะมี 8 ประเภท คือ

  • 40 (1) : เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน เช่น รายได้ประจำ, เงินเดือน เป็นต้น
  • 40 (2) : เงินได้จากการรับทำงานหรือตำแหน่งงาน เช่น ค่านายหน้า เป็นต้น
  • 40 (3) : ค่าลิขสิทธิ์ กู๊ดวิลล์ หรือเงินรายปีที่ได้มาจากพินัยกรรม เป็นต้น
  • 40 (4) : ดอกเบี้ย เงินปันผล และกำไรจากการโอนหุ้น เป็นต้น
  • 40 (5) : เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน เงินหรือประโยชน์อย่างอื่น
  • 40 (6) : เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เช่น กฎหมาย, แพทย์, วิศวกรรม, สถาปัตยกรรม หรือบัญชี เป็นต้น
  • 40 (7) : เงินได้จากการเป็นผู้รับเหมา
  • 40 (8) : เงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์, เกษตร, อุตสาหกรรม, ขนส่ง, ขายอสังหาริมทรัพย์ หรืออื่น ๆ ที่นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในประเภทที่ 1 ถึงประเภทที่ 7 แล้ว

กลับมาที่คำถามของเราคือ “คนที่รับจ้างไลฟ์ขายของต้องเสียภาษีประเภทไหน?” จากการสอบถามกับกรมสรรพากรพบว่า ถ้าคนที่รับจ้างไลฟ์ขายของนั้นจะจัดเป็นเงินได้ประเภท 40(2) ซึ่งเป็นเงินได้ของบุคคลธรรมดาที่ได้รับจากการทำงานให้ผู้ว่าจ้าง ส่วนกรณีคนขายของออนไลน์ จะถูกจัดเป็นเงินได้ประเภท 40(8)

ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลาต้องยื่นภาษีจริง อาจมีรายละเอียดและวิธียื่นไม่เหมือนกัน เช่น กรณีของเงินได้กลุ่มคนขายของออนไลน์ ที่เป็นประเภท 40(8) บางคนต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ถ้าคุณมีรายได้เข้าเงื่อนไขตามนี้ คือ ในช่วง ม.ค. ถึง  มิ.ย. มีเงินได้ประเภทที่ 5-8 และ มีจำนวนเกิน 60,000 บาท ก็ต้องยื่น ภ.ง.ด.94 ภายใน 1 ก.ค. ถึง 30 ก.ย. ของแต่ละปี 

แน่นอนว่า ใครที่ยื่น ภ.ง.ด.94 ไปแล้ว จะเหมือนการจ่ายภาษีล่วงหน้า ดังนั้นในปีถัดไปยังต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี (ภ.ง.ด.90) ที่ต้องยื่นภายในวันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคมของปีถัดไป ส่วนเงินภาษีที่เราจ่ายไปแล้วในงวดครึ่งปี สามารถนำมาเป็น เครดิตหรือหักออกจากยอดภาษีที่ต้องชำระตอนสิ้นปี (ภ.ง.ด. 90) ได้

นอกจากนี้อีกภาษีสำคัญที่ คนค้าขายออนไลน์ต้องคิดถึงคือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยเฉพาะถ้ายอดขายของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์รวมทั้งปี เกิน 1.8 ล้านบาท ภายใน 30 วันหลังยอดขายถึงเป้าหมายนี้ต้องไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

ซื้อขายออนไลน์ คำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอย่างไร

ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร จะคำนวณภาษี 2 วิธี เปรียบเทียบกัน และชำระตามวิธีที่คำนวณได้มากกว่า

  • วิธีที่ 1 

เริ่มจากการนำเงินได้พึงประเมินทั้งหมดมารวมกัน จากนั้นหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนภาษี จะได้ออกมาเป็น 'เงินได้สุทธิ' เมื่อคูณกับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได ก็จะได้ยอดภาษีที่ต้องจ่าย 

สรุปง่าย ๆ คือ เงินได้สุทธิ (เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อนฯ)  x อัตราภาษี = ภาษีที่ต้องจ่าย

  • วิธีที่ 2 

นำเงินได้พึงประเมิน คูณด้วยอัตราภาษี 0.5% จะเท่ากับยอดภาษีที่ต้องจ่าย = ภาษีที่ต้องจ่าย 
แต่หากคูณออกมาแล้วมียอดภาษีที่ต้องชำระไม่เกิน 5,000 บาท ให้เสียภาษีตามวิธีที่ 1 

วิธีลดหย่อนฯ ภาษีของปี 2568 มีอะไรบ้าง?

อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนคงเห็นภาพและเข้าใจภาษีสำหรับคนที่รับจ้างไลฟ์ขายของ และขายของออนไลน์แล้ว เรามาดูในส่วนของการลดหย่อนภาษีฯ กันบ้าง ว่าจะมีทางเลือกแบบไหนบ้าง

สิทธิลดหย่อนฯ ภาษี 2568 ที่ควรรู้

1. ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว เช่น

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท (กรณีจดทะเบียนสมรส และคู่สมรสไม่มีรายได้)
  • ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร ไม่เกินครรภ์ละ 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนบุตร คนละ 30,000 บาท

2. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกันฯ เงินออม และการลงทุน เช่น

  • เงินประกันสังคม ลดหย่อนฯ ได้ไม่เกิน 9,000 บาท
  • เบี้ยประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ (ระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป) สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
  • เบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา ไม่เกิน 15,000 บาท
  • เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนฯ ได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท

3. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาค เช่น

  • เงินบริจาคทั่วไป ลดหย่อนฯ ได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนภาษี
  • เงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ และบริจาคเพื่อสถานพยาบาลของรัฐ ลดหย่อนฯ ได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนภาษี
  • เงินบริจาคให้กับพรรคการเมือง ลดหย่อนฯสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท

4. ค่าลดหย่อนกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ เช่น

  • Easy e-Receipt 2568 ไม่เกิน 50,000 บาท ตามที่จ่ายจริง
  • ค่าสร้างบ้านใหม่ ปี 2567 - 2568 เฉพาะค่าก่อสร้างบ้านใหม่ตามสัญญาจ้างที่ได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2567 – 31 ธันวาคม 2568 ลดหย่อนฯ ได้ 10,000 บาท/จำนวนค่าก่อสร้างที่จ่ายจริงทุก 1 ล้านบาท (รวม VAT แล้ว) แต่รวมแล้วไม่เกิน 100,000 บาท

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้รับจ้างไลฟ์สดหรือเจ้าของร้านค้าออนไลน์ ‘ภาษี’ ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป การทำความเข้าใจประเภทรายได้ วิธีคำนวณ และการใช้สิทธิลดหย่อนอย่างถูกต้องนั้นจะมีส่วนช่วยให้เราจัดการกับภาษีและบริหารเงินได้อย่างลงตัว


อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ