
“ใช้หนี้ให้พ่อแม่”
หนึ่งในค่าใช้จ่ายที่เด็กจบใหม่ หรือคนทำงานต้องเจอคือ การแบ่งเงินส่วนหนึ่งเพื่อดูแลครอบครัวรวมถึงหนี้ของพ่อแม่ด้วย และบางครั้งอาจกลายเป็นความหนักใจที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง
ยกตัวอย่างกรณีของ เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น หรือ รัชนก สุวรรณเกตุ ที่เพิ่งออกมาพูดถึงปัญหาเรื่องเงินในครอบครัว โดยเธอนั้นเคยให้เงินผู้เป็นแม่ 100,000 บาท/เดือน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีปัญหาเรื่องหนี้สินเกิดขึ้นจนเกิดความขัดแย้งในครอบครัว
ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแต่กับคนดังเท่านั้น เพราะเราอาจเห็นได้จากคนใกล้ตัว หรือแม้กระทั่งกระทู้พันทิปก็ยังมีคนตั้งคำถามว่า “ต้องทำยังไง ที่บ้านถึงจะพอใจกับเงินที่เราให้ในแต่ละเดือน ให้เท่าไหร่ก็ไม่พอ ไม่อยากเป็นแหล่งเงินทีจะมาเอาเมื่อไหร่ก็ได้” เป็นต้น
ปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ‘เงิน’ ยังเป็นตัวแปรสำคัญในความสัมพันธ์และชีวิตของเราทุกคน และจะดีกว่าไหมถ้าเราหันหน้าคุยกับพ่อแม่ตรง ๆ เพื่อหาจุดแก้ไขและปรับเปลี่ยนการเงินในครอบครัว
แล้วเราควรจะทำยังไงให้เรื่อง ‘เงิน’ เป็นความสบายใจของทั้งตัวเองและพ่อแม่?
การแสดงความรักหรือตอบแทนพ่อแม่นั้นไม่จำเป็นว่าต้องทุ่มเงินทั้งหมดที่มีในกระเป๋าให้ไปแม้ตัวเองไม่เหลือเงินใช้สักบาท เพราะจริง ๆ แล้วเราสามารถวางแผนการเงินที่จะสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับคนที่รักได้แบบกระทบต่อการเงินของเราน้อยที่สุด
Thairath Money ได้ยกตัวอย่างวิธีวางแผนและจัดการเรื่องเงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับพ่อแม่จาก Finnomena มาให้ผู้อ่านได้เรียนรู้และสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง ดังนี้
ก่อนอื่นต้องเริ่มจากการหันหน้าคุยกัน เพราะยิ่งเรารู้เรื่องการเงินในครอบครัวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เราเห็นจุดแข็งที่ต้องรักษาเอาไว้ และจุดอ่อนที่ต้องเร่งแก้ไขให้ทันท่วงที ซึ่งเราต้องเช็กว่าตอนนี้สถานการณ์การเงินของพ่อแม่เป็นยังไง วางแผนอะไรไว้บ้าง เช่น
คำถามข้างต้นนั้นไม่เพียงแต่ทำให้เราเห็นภาพรวมการเงินของครอบครัว แต่ยังนำไปสู่การเตรียมแผนสร้างความมั่นคงเพื่อให้พ่อแม่อยู่อย่างสบาย ซึ่งแผนหลัก ๆ นั้นมีอยู่ 3 ข้อ คือ
1. วางแผนเรื่องสุขภาพด้วยการซื้อประกัน
การมีประกันสุขภาพนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะสำหรับคนรุ่นพ่อแม่และผู้สูงวัยที่มักจะเจ็บป่วยบ่อยกว่าคนหนุ่มสาว เพราะการเจ็บป่วยนั้นตามมาด้วยค่ารักษาที่สูงลิ่วจนบั่นทอนเงินที่เรามีให้น้อยลง ดังนั้นการมีประกันสุขภาพเอาไว้จึงเปรียบเหมือนการซื้อเบาะรองรับให้เราไม่เจ็บหนักในวันถูกค่ารักษาพยาบาลหล่นทับ
และเรายังสามารถนำเอาเบี้ยประกันสุขภาพไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย นอกจากจะช่วยรับความเสี่ยงเรื่องการเงินแล้ว ยังช่วยประหยัดรายจ่ายส่วนหนึ่งให้เบาลง
2. วางแผนค่าใช้จ่ายวัยเกษียณของพ่อแม่
พูดคุยกับครอบครัวเพื่อประเมินค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าใช้จ่ายส่วนตัวรวมไปถึงส่วนอื่น ๆ เพื่อนำมาคำนวณเป็นงบประมาณคร่าว ๆ ที่พ่อแม่จะใช้ในวัยเกษียณ
เมื่อรู้ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่พ่อแม่ควรมีในวัยเกษียณแล้ว เราอาจนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงไม่สูงมาก เพื่อสร้างผลตอบแทนมาเป็นรายได้ที่สม่ำเสมอ และเอาเงินส่วนที่ได้รับกลับมาจากการลงทุนไปเป็นค่าใช้จ่ายให้กับพ่อแม่ แทนส่วนที่เราต้องควักเงินของตัวเองออกมา
3. วางแผนลงทุนให้พ่อแม่
ถ้าพ่อแม่มีสินทรัพย์หรือเงินออมบางส่วนที่เหลือจากการทำงาน การปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ อาจทำให้มูลค่าที่แท้จริงของเงินลดลงเพราะเงินเฟ้อกัดกิน ดังนั้นถ้าเรามีเงินเหลือจากส่วนของการดูแลสุขภาพและค่าใช้จ่ายหลังเกษียณของพ่อแม่ สามารถนำมา "ต่อยอด" ผ่านการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้เงินงอกเงย, มีมูลค่าเพิ่มขึ้น และชนะเงินเฟ้อได้ แต่ก็ควรจัดพอร์ตให้ดี ไม่เสี่ยงเกินกว่าที่ตัวเองจะรับไหว
ทั้งหมดนี้คือแนวทางการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับพ่อแม่ที่เรารัก โดยไม่จำเป็นต้องให้เงินไปหมดทุกบาทจนตัวเองต้องทุกข์ใจภายหลัง เพราะความกตัญญูในยุคนี้ อาจไม่ใช่แค่การหยิบยื่นเงินให้แล้วจบ แต่คือการวางแผนการเงินว่าจะทำยังไงให้ครอบครัวสบายในระยะยาว และตัวเราต้องไม่ลำบากด้วย
ที่มา : Finnomena
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney