
"โอม-โอมศิริ วีระกุล" Content Director เจ้าของเพจ "ออฟฟิศ 0.4" ผู้เขียนหนังสือสร้างแรงบันดาลใจชื่อดังอย่าง “สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก” และ "PUT THE RIGHT MAN ON THE LIKE JOB เป็นคนที่ใช่ ในงานที่ชอบ" ร่วมแชร์เรื่องราวชีวิต บทเรียนการเงิน และจุดเปลี่ยนจากมนุษย์เงินเดือนสู่การเป็น "อินฟลูเอนเซอร์สายการเงิน" กับน้องๆ นักศึกษามหาวิทยาลัยหอการค้าไทยบนเวที “Finflu กูรูสอนน้อง” ในงาน Thairath Money Campus Tour 2025 ที่กลับมาอีกครั้งเป็นซีซั่นที่สอง
โอม ย้อนเล่าเรื่องราวก่อนจะกลายเป็นหนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์สายการเงินที่คนรุ่นใหม่รู้จัก เขาเคยเป็นเพียงเด็กจบฟิล์มที่หลงใหลการเล่าเรื่องและศิลปะการถ่ายทำ เขาใช้ชีวิตเต็มที่กับงานสร้างสรรค์ ทำงานโปรดักชัน โฆษณา ภาพยนตร์ แต่ไม่เคยคิดเรื่อง “เงิน” อย่างจริงจัง
“ช่วงนั้นผมใช้เงินเหมือนคนไม่มีพรุ่งนี้ เงินเข้ามาก็ใช้หมด ไม่มีเก็บ ไม่มีลงทุน เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็มีงานใหม่เข้ามาอีก” โอมเล่าว่าหลายคนในวัย 20–30 ที่เคยผ่านช่วงนั้นมา โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจฟรีแลนซ์ที่ดูเหมือนเปิดโอกาส แต่จริงๆ ก็ซ่อนความไม่มั่นคงไว้ในทุกขั้นตอนของชีวิต
อย่างไรก็ตามเมื่อถึงจุดที่รายได้เริ่มไม่แน่นอน งานฟรีแลนซ์ขาดช่วง และรายจ่ายยังคงเท่าเดิม ทำให้ตนเริ่มรู้ว่า ชีวิตที่ไม่มีแผนการเงินนั้นเปราะบางกว่าที่คิดจนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้เขาเปลี่ยนมุมมองเรื่อง “การเงิน” ไปจากเดิม
“ผมเรียนฟิล์มมา ฝันอยากทำหนัง แต่พอแม่ป่วยเป็นมะเร็งตอนอายุ 26 ตอนนั้นผมแทบไม่มีเงินเลย มีเหลือในบัญชี 264 บาทเท่านั้น ผมไม่ได้อยากรวยที่สุด แต่อยากเป็นคนที่ไม่ต้องกังวลเวลาเกิดวิกฤติอีกแล้ว”
โอม เปิดเผยว่า หลังจากที่คุณแม่ตนป่วยและยิ่งไปกว่านั้นกับความรู้สึกที่พบว่าตัวเองไม่มีเงินเหลือเก็บในบัญชีเพียงพอที่จะใช้ในเดือนถัดไปยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าต้องหันมาจริงจังกับการเงินของตัวเองและเริ่มต้นศึกษาเรื่อง “การเงินส่วนบุคคล” อย่างจริงจัง ตั้งแต่การออม การลงทุน ไปจนถึงการเข้าใจเป้าหมายชีวิต
โดยจากนั้นหลังจากที่ตนเริ่มแชร์ประสบการณ์การเงินเล็กๆ น้อยๆ ลงในโลกโซเชียล ไม่ว่าจะเป็น วิธีการเก็บเงินง่ายๆ วิธีการตั้งเป้าหมายการเงิน วิธีจัดการหนี้ รวมถึงหลายบทเรียนที่มาจากประสบการณ์ตรง ทำให้เขาเริ่มได้รับการยอมรับในฐานะคนที่ให้แรงบันดาลใจในด้านการเงิน
โอมใช้ประสบการณ์ของตัวเองเป็นฐานความรู้ในการเล่าเรื่อง ซึ่งเขาเชื่อว่า “ความจริงใจ” คือสิ่งที่ทำให้คนเชื่อถือในยุคที่ข้อมูลล้นโลก พร้อมกับยก 3 หลักคิดทางการเงินที่ยึดถือเสมอมาแชร์ให้ฟัง ซึ่งประกอบไปด้วย
โอม เสริมว่า เขาไม่ได้อยากให้ใครทำตามทุกข้อ แต่แค่อยากให้ทุกคน “เริ่มสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเงิน” เพราะการเงินคือการเข้าใจตัวเอง กล่าวคือ การวางแผนการเงินไม่ได้เป็นเรื่องของตัวเลขเพียงอย่างเดียวแต่เป็นการเข้าใจถึงความกลัว ความอยาก และคุณค่าของชีวิตตัวเอง ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
“เราต้องรู้ก่อนว่า เราใช้เงินไปกับอะไร เพื่ออะไร ถ้าใช้เงินเพื่อกลบความเครียดหรือเพื่อให้ดูดี มันจะไม่มีวันพอ แต่ถ้าใช้เงินเพราะรู้ว่ามันทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นจริงๆ มันจะเปลี่ยนทุกอย่าง”
นอกจากนี้ เขายังเล่าถึงเส้นทางการลงทุนของตัวเองว่าเริ่มจากพื้นฐานเล็กๆ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับน้องๆ ยกตัวอย่าง การเริ่มต้นจากกองทุนลดหย่อนภาษี (LTF) ศึกษาหุ้นไทย รวมถึงการเรียนรู้โมเดลธุรกิจที่จะช่วยทำให้เห็นโอกาสการสร้างรายได้ ก่อนจะขยายไปสู่อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ และสินทรัพย์ดิจิทัลในยุคใหม่
“การลงทุนที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องผลตอบแทน แต่ต้องรู้จักตัวเองด้วยว่าเรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน ถ้าราคาขยับนิดเดียวแล้วเครียด นอนไม่หลับ ก็อาจต้องกลับมาดูว่า สไตล์ของเราคือแบบไหน”
โอม กล่าวว่า “เวลา” คือ สมการสำคัญที่สุดของการลงทุน เพราะช่วยให้เงินจำนวนเล็กน้อยเติบโตด้วยพลังของดอกเบี้ยทบต้นและยังเอาชนะเงินเฟ้อได้ในระยะยาว ซึ่งเขาแนะนำให้น้องๆ รุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงาน อย่ารอให้ชีวิตเจอวิกฤติก่อนถึงจะเริ่มคิดเรื่องเงิน เพราะตอนนั้นมันอาจสายไป และเริ่มต้นการออมตั้งแต่วันนี้เพื่ออิสระทางการเงินในอนาคต
“ต้นทุนของน้องๆ ที่ดีกว่าพวกพี่คือ ‘เวลา’ ถ้ามีเงินแค่เดือนละพัน–สองพัน แล้วเริ่มลงทุนในกองทุนดัชนีตั้งแต่ตอนนี้ ผ่านไป 15–20 ปี เงินก้อนนี้อาจเติบโตเป็นหลักสิบล้านได้”
สุดท้าย โอม ย้ำว่าการเรียนรู้เรื่องการเงินไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่างตั้งแต่ต้น แค่เริ่มลงมืออ่าน ศึกษา และลองทำไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เชื่อมโยงกันเหมือน “Connecting the dots” ในวันที่เรามีประสบการณ์มากขึ้น เมื่อนั้นเวลาและประสบการณ์ที่สั่งสมมาจะตอบแทนเรากลับมาในอนาคต
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -