
เรื่องราวความขัดแย้งในธุรกิจครอบครัว และธุรกิจร่วมทุนนั้นเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจมาโดยตลอด เพราะสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของทั้งเรื่องธุรกิจและความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก
ไม่ว่าจะเป็นมหากาพย์มรดก "ท่านผู้หญิงชนัตถ์" ที่นำมาซึ่งการช่วงชิงอำนาจในอาณาจักรธุรกิจโรงแรมระดับตำนานอย่าง "ดุสิตธานี" หรือกรณีล่าสุดที่นักแสดงสาว "ออม สุชาร์" ตัดสินใจยุติข้อพิพาทกับหุ้นส่วนแบรนด์เครื่องสำอาง Fleen Beauty ด้วยการซื้อหุ้นคืนมูลค่า 25 ล้านบาท และต่างฝ่ายต่างถอนฟ้องเพื่อยุติปัญหาทั้งหมดลงด้วยดี ไปจนถึงเรื่องราวของ "เม พรีมายา" ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราวการถูก "ฮุบธุรกิจ" โดยที่ทั้งสองฝ่ายก็ออกมาให้ข้อมูลในมุมของตัวเอง
เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทเรียนทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจริงในสังคม ซึ่งนอกจากความบาดหมางในฐานะอดีตหุ้นส่วนหรือคนในครอบครัวแล้ว ยังสะท้อนถึงการช่วงชิงอำนาจ ผลประโยชน์ และการตัดสินใจครั้งสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่ออนาคตของแบรนด์และธุรกิจได้อย่างคาดไม่ถึง
กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของความเชื่อใจในโลกธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีชื่อเสียงและผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เส้นทางสู่ความสำเร็จที่เริ่มต้นด้วยความฝัน จึงอาจจบลงด้วยข้อพิพาทที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“บทเรียน” ราคาแพงที่ไม่ได้อยู่ในตำราเรียน เมื่อธุรกิจที่เคยร่วมสร้างกลับกลายเป็นสงครามที่ไม่มีใครอยากจดจำ
เรื่องราวเหล่านี้ชวนให้นึกถึงซีรีส์เกาหลี “ยอดอัจฉริยะนักเจรจา” (The Negotiator) ที่เจาะลึกเบื้องหลังโลกธุรกิจอย่างเข้มข้น ตัวละครหลักคือผู้เชี่ยวชาญด้านการเจรจาต่อรอง M&A (Mergers and Acquisitions) ซึ่งต้องเข้าไปจัดการกับข้อพิพาททางธุรกิจที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นการควบรวมกิจการ การเข้าซื้อบริษัท หรือการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างหุ้นส่วนที่ทิ้งรอยร้าวไว้มากมาย
ตัวละครหลัก คือ ยุนจูโน นักเจรจาระดับตำนานที่มีรูปลักษณ์โดดเด่น ผมสีขาว เขาเคยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบรวมและซื้อกิจการชั้นนำของเกาหลี แต่หลังจากที่ถูกผลักไสออกจากวงการอย่างลึกลับ โลกก็ลืมเขาไป 10 ปีต่อมา ยุนจูโนกลับมาทวงคืนตำแหน่งเดิมและเริ่มการเจรจาควบรวมและซื้อกิจการที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อช่วยซานอินกรุ๊ป
โดยต้องการหาเงิน 11 ล้านล้านวอนมาให้ได้ และยังต้องการรักษาราคาหุ้นในตลาดให้อยู่ในช่วง 100,000 วอน เนื่องจากหากซาโมเอลฟันด์ผู้เป็นหุ้นส่วน สามารถแปลงพันธบัตร และจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทันที
ทั้งนี้ซานอินกรุ๊ปเป็นบริษัทเดียวกับที่เคยทอดทิ้งเขา แต่ด้วยทีมมืออาชีพระดับหัวกะทิที่ประกอบไปด้วยทนายความชั้นนำ นักบัญชี ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด และทนายความด้านสิทธิบัตร
โดยซีรีส์เต็มไปด้วยศัพท์เทคนิค และบทพูดที่เยอะมาก ในแต่ละครั้งที่เกิดการเจรจาดีลธุรกิจขึ้น แต่อย่างนึงที่ซีรีส์ทำได้ดีมาก คือ การทำให้ผู้ชมตามลุ้นไปกับทีมเจรจาของ “ยุนจูโน” ว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่ในแต่ละดีล
ยกตัวอย่างเช่น “เมื่อความผันผวนของตลาดการเงินโลกเพิ่มขึ้น เสถียรภาพของอุตสาหกรรมการเงินก็กำลังลดลง หน่วยทางการเงินจึงตัดสินใจว่า จำเป็นต้องมีการบริหารความเสี่ยง และแนะนำธนาคารให้คงอัตราส่วน เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงไว้ที่ 13%”
“ซาโมเอลฟันด์ จึงต้องการให้ลดอัตราส่วนหนี้สิน ที่จะมีแนวโน้มล้มละลาย เนื่องจากต้องจ่ายเงินกู้คืน 11 ล้านล้านวอน โดยเส้นตายคือเงินกู้จะครบกำหนดสิ้นไตรมาส 1/69 แต่ต้องปิดบัญชีภายในสิ้นปีนี้”
“เงื่อนไขสิทธิการขายคือ ถ้าราคาหุ้นตกต่ำกว่า 100,000 วอน ซึ่งเป็นราคาแปลงสภาพ ซาโมเอลฟันด์มีสิทธิปรับมูลค่า และขอให้มีการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยได้ถ้าซาโมเอลฟันด์แปลงพันธบัตร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็จะกลายเป็นซาโมเอลฟันด์ทันที”
ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากจะเข้าถึงแก่นแท้ของซีรีส์เรื่องนี้ เพราะเต็มไปด้วยรายละเอียดทางธุรกิจที่ซับซ้อน ทั้งคำศัพท์เทคนิคและตัวเลขทางการเงินที่อาจทำให้ผู้ชมที่ไม่คุ้นเคยต้องขมวดคิ้ว แต่ซีรีส์ “ยอดอัจฉริยะนักเจรจา” (The Negotiator) ได้นำเสนอประเด็นเหล่านี้ได้อย่างน่าสนใจและชวนติดตามผ่านกลยุทธ์การเล่าเรื่องที่ชาญฉลาด
แต่หากถามว่าอะไรทำให้ The Art of Negotiation น่าสนใจ ถึงแม้จะเต็มไปด้วยภาษาวิชาการ หรือบทสนทนาที่ยืดยาวเนื่องจากเป็นซีรีส์ธุรกิจแนวเจรจาเชิงกลยุทธ์ จุดเด่นนั้น คือ การที่ซีรีส์ใช้คาแรคเตอร์ที่ดูลึกลับ และมีปมเบื้องหลังตลอดเวลาของ ยุนจูโน มาเป็นแกนกลางของเรื่อง ซึ่งการหยิบจุดนี้มาใช้งาน ทำให้ผู้ชมต้องคอยตามลุ้นบทสรุปเจ้าของฉายา “งูขาว” แห่งวงการ M&A คนนี้ว่าจะมีบทสรุปอย่างไร และซีรีส์เรื่องนี้ลาจอไปด้วยเรตติ้งสูงสุดที่ 10.315%
1. เกมแห่งข้อมูลและเวลา
การเจรจาต่อรองในโลกธุรกิจไม่ใช่แค่เรื่องของการพูดคุย แต่คือการช่วงชิง "ข้อมูล" และ "เวลา" ตัวละครอย่างยุนจูโนและทีมงานจะทำงานแข่งกับเวลา เพื่อค้นหาข้อมูลเชิงลึกของคู่เจรจา ตั้งแต่สถานะทางการเงินไปจนถึงจุดอ่อนที่ซ่อนอยู่ เพราะใครมีข้อมูลที่สมบูรณ์กว่า ย่อมมีโอกาสในการกำหนดทิศทางการเจรจาได้มากกว่า
2. ทีมเวิร์กคือหัวใจสำคัญ
ยุนจูโนไม่สามารถทำทุกอย่างได้เพียงลำพัง การกลับมาทวงคืนบัลลังก์ของเขาเกิดขึ้นได้ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่หลากหลาย ทั้งทนายความ นักบัญชี และผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด การทำงานร่วมกันของทีมนี้แสดงให้เห็นว่า การแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อนต้องอาศัยมุมมองและความเชี่ยวชาญจากหลายสาขา การรวมพลังของคนเก่งมารวมตัวกันจึงเป็นปัจจัยสำคัญสู่ชัยชนะ
3. เดิมพันด้วยความเสี่ยงที่คำนวณได้
ทุกการเจรจาคือการเดิมพัน ซีรีส์เรื่องนี้ทำให้เห็นว่าการตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญมักมาพร้อมกับความเสี่ยง ตัวละครต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลตอบแทนกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นอยู่เสมอ
4. ความสัมพันธ์และความเชื่อใจในโลกธุรกิจ
ถึงแม้ธุรกิจจะเป็นเรื่องของตัวเลขและผลประโยชน์ แต่ซีรีส์ก็สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ "ความสัมพันธ์" และ "ความเชื่อใจ" ในการเจรจา ยุนจูโนต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มคนจากอดีตที่เคยหักหลังเขา และต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับทีมงานและลูกค้าอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากกว่าการเจรจาธุรกิจเสียอีก เพราะเมื่อความเห็นไม่ตรงกันเรื่องทิศทางธุรกิจ หรือการบริหารจัดการที่ไม่โปร่งใส ก็นำไปสู่การแตกหักที่ไม่สามารถแก้ไขได้
ดังนั้น “ยอดอัจฉริยะนักเจรจา” จึงไม่ใช่แค่ซีรีส์ที่ดูสนุก แต่เป็นเสมือน "ห้องเรียน" ทางธุรกิจที่ให้บทเรียนอันมีค่า ทั้งเรื่องการวางแผน การบริหารจัดการความเสี่ยง และความสำคัญของความสัมพันธ์ทางธุรกิจในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ซีรีส์เรื่องนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นเรื่องราวธุรกิจที่ซับซ้อน ที่สามารถนำเสนอได้อย่างน่าติดตามและเข้าถึงได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักธุรกิจหรือไม่ก็ตาม
เพราะการสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้นยากแล้ว แต่การรักษามันไว้ให้มั่นคงท่ามกลางความขัดแย้งนั้นยากยิ่งกว่า…
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney