ปัจจุบัน คนยุคใหม่มองหาอิสระในการทำงานและบริหารชีวิตแบบเฉพาะตัวมากขึ้น ทำให้อาชีพฟรีแลนซ์ นักเขียน นักออกแบบ ไปจนถึงไรเดอร์ได้รับความนิยม
อย่างไรก็ตาม การเป็น Gig Worker (คนทำงานอิสระ รับงานเป็นชิ้น ๆ หรือเป็นโปรเจกต์ ไม่ได้มีสัญญาจ้างถาวร)ให้เสรีภาพ แต่ก็แลกมาด้วยความไม่แน่นอนด้านรายได้และการขาดสวัสดิการแบบพนักงานประจำ ซึ่งถ้าไม่วางแผนการเงินให้ดี อิสระอาจกลายเป็นภาระได้เช่นกัน
“ ภาษี “เรื่องที่ต้องจัดให้เป็นระบบ
ภาษีไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับ Gig Worker เพราะหากไม่จ่ายหรือเตรียมไม่พออาจเจอภาระก้อนใหญ่ตอนสิ้นปี และทำให้ความสามารถในการกู้หรือวางแผนการเงินระยะยาวอ่อนแอลง นั่นทำให้เราต้อง “กันเงินภาษี” เป็นสัดส่วนเมื่อได้รับเงินแต่ละครั้ง
- กันเงินภาษีทันที 10–20% ของรายได้ที่ได้รับ เก็บไว้บัญชีแยกเพื่อไม่เผลอใช้ เช่น รับงาน 1,000 บาท ให้โอน 100–200 บาท เข้า “บัญชีภาษี” ทันที
- แยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว เพื่อให้เห็นรายได้จริง-ค่าใช้จ่ายจริง ง่ายต่อการคำนวณกำไรสุทธิและเตรียมเอกสารยื่นภาษี
- เก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายให้เป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นใบเสร็จ ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ ค่าอุปกรณ์ โปรแกรมบัญชีง่าย ๆ หรือโฟลเดอร์สแกนจะช่วยให้เราหักค่าใช้จ่ายได้ถูกต้องและมีหลักฐานเมื่อต้องยื่นภาษี
- เช็กว่ารายได้จากแพลตฟอร์มถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่ เพราะบางแพลตฟอร์มมีระบบหัก ณ ที่จ่ายให้ แต่บางที่ไม่ได้ ดังนั้นต้องเช็กบิลและหักสำรองเองหากจำเป็น (ถ้าไม่มั่นใจ ให้ปรึกษานักบัญชีหรือใช้บริการยื่นภาษีสำหรับผู้ประกอบการอิสระ)
- ถ้ารายได้สูง/ซับซ้อน ให้ปรึกษาพนักงานบัญชีหรือผู้เชี่ยวชาญ การตั้งค่า VAT, การจดทะเบียนผู้ประกอบการ (ถ้าจำเป็น) หรือการขอสิทธิทางภาษีบางอย่าง ควรขอคำแนะนำเฉพาะกรณี
ลงทุน ทำให้รายได้ “เติบโต” แม้รายได้จากงานจะผันผวน
ข้อเสียของอาชีพฟรีแลนซ์ คือ รายได้จากงานอาจไม่สม่ำเสมอ การลงทุนจะช่วยสร้างรายได้ทดแทนในอนาคต (Passive Income) และเป็นวิธีสะสมเงินเพื่อเกษียณหรือเป้าหมายใหญ่ โดย SCB แนะนำให้ลงทุนเป็นประจำ แม้รายได้ไม่แน่นอนก็ยังควรจัดสรรเพื่อการลงทุนเป็นสัดส่วน
- จัดสรรเงินลงทุนเป็นสัดส่วน (ตัวอย่าง 10–15% ของรายได้) : เมื่อได้เงินเข้ามา แยกส่วนนึงไว้ลงทุนประจำ เช่น ตั้งระบบ DCA (ลงทุนเป็นงวด) เพื่อเฉลี่ยต้นทุน แม้บางเดือนไม่มาก แต่ระยะยาวจะเห็นผล
- เลือกสินทรัพย์ตามความเสี่ยงที่รับได้ : ถ้าต้องการความมั่นคง ระบุสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ–ปานกลาง เช่น กองทุนรวมที่มีนโยบายกระจายความเสี่ยง, พันธบัตรรัฐบาล, หุ้นปันผลสำหรับระยะยาว เป็นต้น
- พิจารณากองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนสะสมอื่นๆ เมื่อเหมาะสม RMF ช่วยออมระยะยาวและมีสิทธิประโยชน์ทางภาษี (ตรวจเงื่อนไขล่าสุดก่อนตัดสินใจ) SCB ย้ำว่าควรศึกษารายละเอียดสิทธิทางภาษีและความเสี่ยงของกองทุนก่อนลงทุน
- เริ่มจากขนาดเล็ก–สม่ำเสมอ : ถ้ารายได้ผันผวน ให้ตั้งขั้นต่ำในการลงทุน (เช่น ทุกครั้งที่ได้เงินเกินเป้าหมาย หรือเดือนละครั้งตามสภาพคล่อง) เพื่อไม่เป็นภาระรายจ่ายประจำมากเกินไป
- ศึกษาคำเตือนเรื่องความเสี่ยง : เพราะกองทุนและหุ้นมีทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและอาจขอคำแนะนำจากผู้แนะนำการลงทุนที่ได้รับอนุญาต
สวัสดิการ สร้าง “เกราะป้องกัน” ด้วยตัวเอง
อาชีพฟรีแลนซ์ ไรเดอร์ ไม่มีนายจ้าง ไม่มีสวัสดิการอัตโนมัติ ดังนั้น Gig Worker ต้องสร้างระบบความคุ้มครองของตัวเอง เช่น กองทุนฉุกเฉิน ประกันสุขภาพ และการวางแผนเกษียณ ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “สวัสดิการที่ต้องสร้างเอง”
- เงินสำรองฉุกเฉิน 6–12 เดือนของค่าใช้จ่าย - SCB แนะนำ Gig Worker ควรมีเงินสำรองเยอะกว่าพนักงานประจำ (พนักงานประจำมักมี 3–6 เดือน แต่ Gig Worker ควรตั้งเป็น 6–12 เดือน) เพื่อรองรับเดือนที่งานน้อยหรือฉุกเฉิน. เก็บในบัญชีที่ถอนง่าย ไม่ล็อกสภาพคล่อง
- ประกันสุขภาพ / ประกันอุบัติเหตุ - เลือกความคุ้มครองที่สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เจอบ่อย (เช่น ค่าใช้จ่ายจากอุบัติเหตุสำหรับไรเดอร์) - อ่านกรมธรรม์ให้ละเอียดก่อนซื้อ เลือกวงเงิน/ค่าเสียหายที่พอเหมาะกับรายได้
- เข้าร่วมระบบประกันสังคม (มาตรา 40) สำหรับฟรีแลนซ์ที่ต้องการสวัสดิการรัฐ — หากต้องการสิทธิพื้นฐาน เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินทดแทนก้อนเมื่อทุพพลภาพ/เสียชีวิต หรือบำเหน็จชราภาพ ควรพิจารณาสมัคร ม.40 (เป็นโครงการภาคสมัครใจสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ) - มีหลายทางเลือกการจ่ายสมทบตามระดับสิทธิที่ต้องการและสามารถสมัครผ่านระบบของสำนักงานประกันสังคมได้
- วางแผนเกษียณด้วยการออมเฉพาะทาง - นอกจาก RMF ยังพิจารณากองทุนรวมระยะยาวหรือบัญชีออมทรัพย์เพื่อเป้าหมายระยะยาว แยกจากเงินฉุกเฉินและเงินลงทุนเพื่อเป้าหมายสั้น–กลาง
สรุปเช็กลิสต์ คู่มือวางแผนการเงิน ฉบับฟรีแลนซ์
- เปิด บัญชีแยก 2 บัญชี: (1) บัญชีรับเงิน/ค่าใช้จ่ายธุรกิจ (2) บัญชีส่วนตัว + บัญชีเล็กสำหรับ “ภาษี” (กัน 10–20%)
- ตั้ง เงินฉุกเฉิน เป้าหมาย 6–12 เดือน ของค่าใช้จ่ายจริง ต่อเดือน
- ถ้าสนใจสวัสดิการรัฐ - เช็กการสมัคร ม.40 ที่เว็บไซต์/สำนักงานประกันสังคม (เลือกแผนส่งเงินสมทบที่เหมาะกับตัวเอง)
- เริ่ม ลงทุนเป็นประจำ แม้จะเล็ก เช่น 5–10% ของรายได้ก่อนขยับไป 10–15% เมื่อสภาพคล่องดีขึ้น; พิจารณา RMF ถ้าต้องการสิทธิประโยชน์ภาษี
- จัดระบบ เก็บบิลและสแกนเอกสาร (ใช้โฟลเดอร์ในมือถือหรือโปรแกรมบัญชีง่าย ๆ) เพื่อการยื่นภาษีที่ไม่ปวดหัว