
หลายคนทำงานเก็บเงินมานาน กะว่าพร้อมจะมี “บ้านหลังแรก” เป็นของตัวเอง แต่พอถึงเวลายื่นกู้จริง กลับเจอคำตอบที่เจ็บปวด… “ธนาคารไม่อนุมัติสินเชื่อ”
สิ่งที่ทำให้หลายคนงงก็คือ รายได้ก็ดูจะถึงเกณฑ์แล้วแท้ ๆ ทำไมถึงไม่ได้บ้านในฝัน?แท้จริงแล้ว ธนาคารไม่ได้ดูแค่เงินเดือนหรือยอดเงินเดือนเท่านั้น แต่ยังส่อง “พฤติกรรมทางการเงิน” ของเราอย่างละเอียด ว่าในระยะยาวมีวินัยมากพอที่จะผ่อนบ้านจนหมดหรือไม่
บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ชื่อดังอย่าง ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) สรุปอินไซต์ไว้น่าสนใจว่า มี 8 เรื่องเล็ก ๆ ที่ผู้กู้จำนวนมากมองข้าม แต่กลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ธนาคารปฏิเสธสินเชื่อ ลองมาเช็กกันว่า เราเผลอทำข้อไหนอยู่หรือเปล่า
1. จ่ายหนี้ล่าช้า
หลายคนอาจคิดว่า “ช้าไปไม่กี่วัน คงไม่เป็นไร” แต่สำหรับธนาคารแล้ว ความตรงต่อเวลาคือสิ่งสำคัญที่สุด การจ่ายหนี้ช้า แม้เพียงเล็กน้อย ก็จะถูกบันทึกไว้ในเครดิตบูโร และสะท้อนว่าเราขาดวินัยทางการเงิน ยิ่งถ้าเป็นการผิดนัดล่าสุด โอกาสที่ธนาคารจะมองว่าเราเสี่ยงยิ่งสูง เพราะมันเหมือนกับการบอกว่า “อนาคตคุณก็อาจจ่ายไม่ตรงเวลาอีก”
2. ภาระหนี้เกิน 40% ของรายได้
ธนาคารจะใช้ตัวเลขที่เรียกว่า Debt Service Ratio (DSR) มาคำนวณ ว่าผู้กู้มีหนี้มากเกินไปหรือไม่ โดยทั่วไปเขาจะให้วงเงินกู้ถ้าเรามีภาระผ่อนหนี้รวมไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน เช่น ถ้ารายได้ 30,000 บาท ภาระหนี้ทั้งหมดควรไม่เกิน 12,000 บาท หากเกินจากนี้ไป ธนาคารจะมองว่าเราไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับผ่อนบ้าน และมีความเสี่ยงสูง
3. ยื่นกู้หลายธนาคารเกินไป
บางคนคิดว่ายิ่งยื่นหลายธนาคารยิ่งดี แต่ความจริงแล้ว ทุกครั้งที่เรายื่นกู้ ข้อมูลจะถูกส่งเข้าเครดิตบูโรทันที หากธนาคารเห็นว่าเรายื่นขอสินเชื่อเกินจำเป็น อาจมองว่า “ผู้กู้ไม่มั่นใจในความสามารถตัวเอง” หรือกำลังเสี่ยงที่จะกู้ไม่ผ่านทุกที่ ทางที่ดีควรเลือกเปรียบเทียบจริงจังเพียง 2–3 ธนาคารที่มั่นใจที่สุดก็พอ
4. อยู่ระหว่างปรับโครงสร้างหนี้
การปรับโครงสร้างหนี้ หรือเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องดีสำหรับการแก้ปัญหาการเงินเฉพาะหน้า แต่ในสายตาธนาคาร มันสะท้อนว่าผู้กู้เคยจัดการหนี้ไม่ดีมาก่อน ต้องพึ่งพาการช่วยเหลือเพื่อประคองสถานะ เมื่อเห็นประวัติแบบนี้ ธนาคารจึงลังเลที่จะอนุมัติสินเชื่อใหม่ เพราะกลัวว่าผู้กู้จะมีปัญหาซ้ำอีก
5. จ่ายบัตรเครดิตแค่ขั้นต่ำ
หลายคนใช้วิธีจ่ายบัตรเครดิตแค่ขั้นต่ำเพื่อเอาตัวรอด แต่ธนาคารมองต่างออกไป เพราะมันหมายถึงเรา “ไม่มีเงินพอจ่ายเต็มจำนวน” และปล่อยให้ดอกเบี้ยก้อนใหญ่พอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ พฤติกรรมนี้สะท้อนถึงความไม่มั่นคงทางการเงิน และกลายเป็นธงแดงที่ทำให้ธนาคารปฏิเสธได้ทันที
6. การค้างชำระ
ถ้าเลยกำหนดชำระแล้วไม่จ่าย จนข้ามรอบบิลไปเลย แบบนี้ถือว่าร้ายแรงกว่าการจ่ายช้า เพราะระบบเครดิตบูโรจะบันทึกทันทีว่าเรามี “บัญชีค้างชำระ” และจะทำให้คะแนนเครดิตเสียอย่างมาก ไม่ใช่แค่กู้บ้านไม่ผ่าน แต่ยังส่งผลไปถึงการขอสินเชื่อทุกประเภทในอนาคตด้วย
7. ค้ำประกันให้ผู้อื่น
หลายคนอยากช่วยเพื่อนหรือญาติด้วยการค้ำประกัน แต่สิ่งที่ไม่รู้คือ ภาระหนี้นั้นถือว่าเป็นของเราด้วยในสายตาธนาคาร หากผู้กู้ตัวจริงไม่จ่ายหนี้ หนี้ทั้งหมดจะถูกโยนกลับมาหาผู้ค้ำทันที แม้ตอนนี้เพื่อนยังจ่ายอยู่ แต่ธนาคารจะนับรวมภาระค้ำนี้เป็นหนี้ของเราอยู่ดี ทำให้ความสามารถในการกู้บ้านลดลง
8. ความไม่มั่นคงของรายได้
โดยเฉพาะผู้ที่ทำอาชีพฟรีแลนซ์หรืออาชีพอิสระ แม้จะมีรายได้สูงกว่ามนุษย์เงินเดือน แต่หากไม่มีความสม่ำเสมอ หรือไม่สามารถแสดงหลักฐานรายได้อย่างต่อเนื่อง ธนาคารจะประเมินว่าเสี่ยงสูง การปล่อยกู้บ้านไม่ใช่เรื่องของรายได้เดือนเดียว แต่คือการประเมินว่าเราจะมีรายได้มั่นคงไปตลอด 20–30 ปีหรือไม่
จะเห็นได้ว่า เมื่อบ้านหลังแรกคือความฝัน แต่ธนาคารไม่ได้ขายฝันให้เราทันที พวกเขาขาย “ความมั่นใจ” ว่าผู้กู้จะสามารถจ่ายหนี้ได้ตลอด 20–30 ปีข้างหน้า ดังนั้น การจะให้สินเชื่อผ่าน ไม่ได้อยู่ที่รายได้เท่านั้น แต่คือ การมีวินัยทางการเงิน ที่สม่ำเสมอลองย้อนกลับมาเช็กตัวเองจาก 8 ข้อนี้ก่อนยื่นกู้ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสมีบ้านในฝัน และใช้เป็นแรงกระตุ้นในการวางแผนการเงินให้มั่นคงยิ่งขึ้น
สุดท้ายนี้ บ้านอาจเป็นสินทรัพย์ก้อนใหญ่ที่สุดที่เราซื้อในชีวิต แต่การจะได้มันมา ไม่ใช่เรื่องโชคหรือเส้นสาย แต่คือการพิสูจน์ว่าเรา “จัดการเงินเป็น” และมีวินัยพอที่จะดูแลบ้านและหนี้ไปพร้อมกัน
ที่มา : บมจ.ศุภาลัย
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney