
แค่รับสาย “มิจฉาชีพ” ไม่กี่นาที เงินก็ปลิวหายไปแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินคำนี้บ่อย ๆ ทั้งจากข่าวและโซเชียลที่มีคนตกเป็นเหยื่อมากมาย แต่รู้ไหมว่าคนไทยโดนมิจฉาชีพหลอกเยอะแค่ไหน?
ทุกวันนี้ใครๆ ก็ขายของออนไลน์ จ่าย - โอนเงินค่าสินค้าผ่านแอปฯ ธนาคารต่างๆ ได้ง่าย และไม่มีค่าธรรมเนียม เรียกว่าไม่กี่วินาทีเงินจากบัญชีเรา สามารถโอนข้ามจังหวัดไปสู่ร้านค้าออนไลน์ หรือเพื่อนที่อยู่คนละพื้นที่ได้ง่าย แต่ความเร็วของระบบการชำระเงินเหล่านี้กลับทำให้ความเสี่ยงภัยการเงินเพิ่มขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะภัยจากมิจฉาชีพ
ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพไหน อายุเท่าไร หลายคนคงเคยรับสายจากมิจฉาชีพที่โทรมาข่มขู่, ซื้อของออนไลน์แล้วไม่ได้สินค้า, หลอกให้รักและขอให้โอนเงินมาให้, หลอกว่าจะช่วยหางานให้แต่เมื่อจ่ายเงินกลับไม่ได้งานนั้นๆ กลลวงเหล่านี้ก็นับเป็นภัยจากมิจฉาชีพเช่นกัน
ในเรื่องนี้ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เปิดเผยว่า จากการสำรวจคนไทยกว่า 7,000 ตัวอย่าง พบว่า 70% เคยถูกชักชวนหรือหลอก และกว่า 30% ได้รับความเสียหาย
ขณะที่หากนับจากปี 65 มีสถิติการแจ้งความคดีออนไลน์ยังพุ่งถึง 1 ล้านคดี มูลค่าความเสียหายรวมแล้วกว่า 98,000 ล้านบาท (จาก Thai Police Online) จากข้อมูลแล้วส่วนใหญ่เป็นการหลอกลวงที่เหยื่อยินยอมโอนเงินเอง ซึ่งเพิ่มขึ้นตามระบบชำระเงินที่รวดเร็ว (fast payment) และมีปัจจัยที่เอื้อให้มิจฉาชีพเข้าถึงผู้เสียหายได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มที่เชื่อมผู้คนจำนวนมากเข้าหากันง่ายขึ้น ไปจนถึงการมี AI ที่ทำให้กลโกงแนบเนียนขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้ “การหลอกลวงเกิดง่าย ขยายวงกว้าง และใกล้ตัวทุกคนมากขึ้น”
ในอีกด้าน fast payment ยังเปิดทางให้มิจฉาชีพ (โดยเฉพาะแก๊งที่ใช้บัญชีม้า) โอนเงินออกนอกระบบได้เร็ว เงินจึงหายไวและติดตามได้ยาก จากข้อมูลที่ ธปท.พบว่า “เงินกว่า 50% จะถูกโอนออกไปภายใน 3 นาที” ขณะที่เหยื่อใช้เวลาเฉลี่ย 18 ชั่วโมงกว่าจะรู้ตัวและแจ้งความ สถานการณ์นี้ทำให้สถาบันการเงินต้องแข่งกับเวลามากขึ้น ซึ่งแบงก์ชาติก็มีมาตรการเพื่อดูแลเรื่องเหล่านี้อย่างรอบคอบและให้เร็วยิ่งขึ้น
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหามิจฉาชีพที่เกิดขึ้น เพราะเคสที่แจ้งความกว่าล้านคดีอาจไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด
เมื่อภัยจากมิจฉาชีพไม่ใช่แค่การโทรมาข่มขู่ หลอกลวง แต่ยังรวมถึงการหลอกซื้อของออนไลน์ และอื่นๆ จำนวนความเสียหายที่แท้จริงอาจมากกว่านั้น ดร. ฐิติ ทศบวร หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เล่าว่า จากผลสำรวจการแจ้งความ* มีเพียง 10% ของผู้เสียหายที่เลือกไปแจ้งความ และอีก 10% ของผู้เสียหายไปแจ้งธนาคารแต่ไม่แจ้งความ ขณะที่อีก 80% ไม่แจ้งทำอะไรเลยแม้จะถูกหลอก
สาเหตุที่ผู้เสียหายเลือกจะไม่แจ้งความหรือแจ้งธนาคาร ได้แก่
- ผู้เสียหายรู้สึกอายหรือกลัวเสียภาพลักษณ์ เช่น หากทำอาชีพทนายแต่ถูกหลอกและโกงเงินไป อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในอาชีพการงานได้ถ้ามีคนรู้
- จำนวนเงินที่เสียไป อาจถูกมองว่าเล็กน้อยเกินไป เช่น ผู้เสียหายมองว่าไม่คุ้มที่จะแจ้งความเพราะถูกโกง 100 - 200 บาท หรือบางครั้งอาจถูกล้อเลียน/เหยียดหยามเพราะถูกมองว่า “เงินแค่นั้นยังจะเอาคืนอีกเหรอ?” จนเหยื่อรู้สึกเสียความมั่นใจและไม่อยากไปแจ้งความ
ดังนั้น เมื่อผู้เสียหายไม่ได้แจ้งต่อหน่วยงานต่างๆ ผลที่ตามมาก็คือ มิจฉาชีพจำนวนมากอาจยังลอยนวล บัญชีที่หลอกเงินผู้เสียหายไปนั้นยังไม่ถูกตรวจสอบ และอาจนำไปใช้หลอกลวงคนอื่นต่อไป
ปัจจุบันมิจฉาชีพมีหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะร้านค้าหลอกลวง หรือนายหน้าหางานที่ไม่มีอยู่จริง เพื่อรับมือปัญหาเหล่านี้ Thairath Money รวบรวม 4 วิธีตรวจสอบมิจฉาชีพ มาเป็นตัวช่วยเบื้องต้นก่อนเราตัดสินใจโอนเงิน ดังนี้
1. ตรวจสอบรายชื่อผ่าน Google
เป็นวิธีง่าย ๆ ที่หลายคนมองข้าม แค่นำชื่อคนที่ขายสินค้าหรือเจ้าของบัญชีไปค้นหาใน Google อาจมีข้อมูลพฤติกรรมที่เขาเคยทำ บางคนอาจมีข้อสงสัยว่าเป็นมิจฉาชีพ ให้เราพิจารณาได้ว่าจะโอนหรือไม่โอนเงินให้เขา
2. เช็กใน Social Media
ค้นหาในโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook หรือ X (Twitter) เพราะคนที่เคยเป็นเหยื่อมักจะมาโพสต์เตือนภัยเอาไว้
3. เช็กผ่านเว็บไซต์
บางเว็บไซต์สามารถตรวจสอบประวัติมิจฉาชีพของผู้รับโอนได้จากทั้งเลขบัญชีและเบอร์โทร เช่น Blacklistseller, ฉลาดโอน หรือ เช็กก่อน
4. เช็กจากเบอร์โทรศัพท์
การใช้แอปพลิเคชัน เช่น Whoscall หรือ Truecaller สามารถช่วยเราคัดกรองมิจฉาชีพ หรือเบอร์แปลกๆ ที่โทรมาหาเราได้จากเบอร์โทรได้
ทั้ง 4 วิธีนี้เป็นตัวช่วยเบื้องต้นให้เราลองเช็กให้ชัวร์ก่อนโอน เพื่อป้องกันการถูกมิจฉาชีพหลอก แต่ถ้าเราตกเป็นผู้เสียหายแล้ว ควรรวบรวมหลักฐาน ไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีให้เร็วที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสการได้เงินก้อนนั้นกลับมา ที่สำคัญคือ ทุกการแจ้งความ แจ้งธนาคาร อาจช่วยเหลือจำนวนคนที่ตกเป็นเหยื่อจากมิจฉาชีพได้
*ผลสำรวจการแจ้งความจากโครงการศึกษาสถานการณ์การถูกหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์หรือโทรศัพท์มือถือ โดย อาจารย์ธน หาพิพัฒน์
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย, กรมประชาสัมพันธ์
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney