ทุกวันนี้เงินไม่ได้มีค่าแค่เอามาใช้จ่าย แต่เป็น “เครื่องมือ” ที่กำหนดคุณภาพชีวิตเราเลยก็ว่าได้ ใครที่เคยตั้งใจจะเก็บเงินแต่ทำไม่ได้สักที หรือเก็บได้แป๊บเดียวแล้วหมดไปกับเรื่องจุกจิก
บทความนี้ Thairath Money ชวนคุณเปลี่ยนพฤติกรรมการเงินแบบง่าย ๆ ที่ทำได้จริง ไม่ว่า “เงินเดือน”จะมากหรือน้อย เพราะการออมไม่ใช่เรื่องของ “จำนวนเงิน” แต่เป็นเรื่องของ “วินัยและวิธี” ต่างหาก
12 วิธีเก็บเงิน ที่ทำตามแล้วเห็นผลจริง
1. เก็บแบงก์ที่ชอบ – ออมสนุกแบบเล่นเกม
- วิธีทำ: เลือกแบงก์ใดแบงก์หนึ่ง เช่น แบงก์ 50 บาท ทุกครั้งที่ได้มาให้เก็บทันที ห้ามใช้
- ตัวอย่าง: ถ้าเจอแบงก์ 50 เฉลี่ยสัปดาห์ละ 5 ใบ จะเท่ากับเดือนละ 1,000 บาท
- จุดแข็ง: ทำให้การออมไม่น่าเบื่อ เหมือนเล่นเกมลุ้นว่าจะได้แบงก์กี่ใบ
- คำแนะนำ: วิธีนี้เหมาะสำหรับมือใหม่ หรือคนที่อยากสร้างกำลังใจให้ตัวเอง
2. เก็บเงินตามวันที่ – ปฏิทินช่วยบังคับอัตโนมัติ
- วิธีทำ: วันที่ 1 เก็บ 1 บาท วันที่ 30 เก็บ 30 บาท รวมทั้งเดือนเก็บได้ 465 บาท
- ถ้าอยากเร่งออม: คูณ 10 เช่น วันที่ 15 เก็บ 150 บาท
- จุดแข็ง: ไม่ต้องคิดเยอะ แค่ทำตามวันที่
- ข้อควรระวัง: ถ้าเงินเดือนน้อย ควรเลือกสูตรที่เบากว่า เช่น คูณ 5 แทน
3. หักเงินออมก่อนใช้ – Pay Yourself First
- วิธีทำ: ตั้งระบบหักบัญชีอัตโนมัติ 10–20% ของเงินเดือนเข้าบัญชีออม
- ตัวอย่าง: เงินเดือน 20,000 → หักออมทันที 2,000 เหลือใช้ 18,000
- จุดแข็ง: ป้องกันการใช้เงินหมดก่อนออม
- เคล็ดลับ: แนะนำเปิดบัญชีที่กดไม่ได้/ไม่มีบัตร ATM
4. หยอดกระปุกจากเงินทอน – Small Change, Big Money
- วิธีทำ: เก็บเหรียญหรือแบงก์ย่อยทุกครั้งที่ซื้อของ
- ตัวอย่าง: ถ้าเฉลี่ยวันละ 20 บาท → ปีหนึ่งได้เกือบ 7,300 บาท
- จุดแข็ง: เงินน้อยแต่สะสมกลายเป็นก้อนใหญ่
- ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงกระปุกที่เปิดง่าย จะเผลอหยิบมาใช้
5. อยากได้ของต้องออมก่อน – No Debt, No Regret
- วิธีทำ: ตั้งเป้าเงินเก็บเท่าราคาของที่อยากได้ แล้วค่อยซื้อ
- ตัวอย่าง: อยากได้มือถือราคา 15,000 → แบ่งเก็บเดือนละ 3,000 → 5 เดือนซื้อได้ทันทีโดยไม่ติดหนี้
- จุดแข็ง: ลดพฤติกรรมผ่อนจ่ายที่ดอกเบี้ยบาน
- ผลลัพธ์: ทำให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่ซื้อ เพราะใช้ “เงินที่มี” ไม่ใช่ “เงินที่ยืม”
6. ใช้แอปฯ ช่วยออม – Digital Coach
- ตั้งเป้าออมรายเดือน
- โอนอัตโนมัติ
- แยกหมวดรายจ่าย
ตัวอย่างแอป: แอปธนาคาร (K PLUS, SCB EASY, ttb touch) หรือแอปการเงินอย่าง Finnomena, Jitta
จุดแข็ง : ทำให้เห็นพฤติกรรมการใช้เงินจริง ไม่ใช่แค่ความรู้สึก
7. ฝากประจำปลอดภาษี – ปลอดภัย ได้ดอกจริง
- วิธีทำ: เปิดบัญชีฝากประจำ 24–48 เดือน ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์
- ตัวอย่าง: ฝากเดือนละ 3,000 บาท ดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.8–2.5% ต่อปี
- จุดแข็ง: ดอกเบี้ยไม่เสียภาษี (ตามเงื่อนไขธนาคาร)
- เหมาะสำหรับ: คนที่ไม่รีบใช้เงิน และมีวินัยฝากต่อเนื่อง
8. แยกบัญชีชัดเจน – กันเงินรั่วไหล
- แบ่งเป็น 3 บัญชีหลัก:
- บัญชีใช้จ่าย (ค่าใช้จ่ายรายเดือน)
- บัญชีออม (เงินสำรองฉุกเฉิน)
- บัญชีลงทุน (สร้างความมั่งคั่ง)
จุดแข็ง: มองเห็นเงินกองไหนเป็นของจริง ใช้ผิดที่ผิดทางยากเคล็ดลับ: ใช้ธนาคารต่างกัน เพื่อกันความสับสน9. ลงทุนพันธบัตร – เสี่ยงต่ำ ได้ดอกแน่นอน
- วิธีทำ: ซื้อพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาล ดอกเบี้ยเฉลี่ย 2–3% ต่อปี
- ข้อดี: ได้ดอกแน่นอน 100% มีความมั่นคงสูง
- เหมาะสำหรับ: มือใหม่ที่ยังไม่อยากเสี่ยงกับหุ้น/กองทุน
- ตัวอย่าง: พันธบัตรอายุ 5 ปี ดอกเบี้ย 2.3% → ลงทุน 100,000 จะได้ดอกเบี้ย 11,500 ตลอดอายุ
10. ใช้สิทธิกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ – ฟรีเงินสมทบ + ลดภาษี
- วิธีทำ: หากบริษัทมี PVD ให้เลือกออมสูงสุดที่ไหว เพราะบริษัทจะสมทบเพิ่ม
- ตัวอย่าง: พนักงานออม 5% → บริษัทสมทบอีก 5% รวมเป็น 10% โดยที่เราจ่ายจริงแค่ครึ่งเดียว
- จุดแข็ง: เงินโตเร็ว และยังลดหย่อนภาษีได้
11. ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ – ออม + คุ้มครอง
- วิธีทำ: เลือกกรมธรรม์ที่ให้เงินคืนทุกปี + เงินก้อนตอนครบกำหนด
- ตัวอย่าง: จ่ายปีละ 20,000 → ได้คืนปีละ 2,000 + ความคุ้มครองทันที
- จุดแข็ง: ได้ทั้งการออมและความคุ้มครองชีวิต
- ข้อควรระวัง: ต้องดูค่าใช้จ่ายที่แท้จริง (IRR) เพราะผลตอบแทนมักต่ำกว่าเงินฝากประจำ
12. ประกันบำนาญ – สร้างเงินใช้หลังเกษียณ
- วิธีทำ: จ่ายเบี้ยช่วงทำงาน พอถึงอายุ 55–60 จะได้เงินบำนาญทุกปี
- จุดแข็ง: ช่วยสร้างรายได้ต่อเนื่องหลังเกษียณ + ลดหย่อนภาษี
- ตัวอย่าง: จ่ายเบี้ย 50,000 บาท/ปี 20 ปี → หลังเกษียณได้เงินคืนปีละ 30,000–40,000 บาทจนถึงอายุ 85–90
สรุปแล้ว “การออม” ไม่ใช่เรื่องของจำนวนเงิน แต่เป็นเรื่องของ “ระบบ” ที่เราวางไว้ในชีวิตจริง เลือกวิธีที่เข้ากับนิสัยและรายได้ แล้วทำต่อเนื่อง รับรองว่าแม้เงินเดือนจะไม่มาก แต่คุณก็มีภูมิคุ้มกันการเงินที่มั่นคง