
“การเมือง กับ ปากท้องไม่เกี่ยวกันอยู่แล้ว”
หลายคนอาจเคยได้ยินคำทำนองนี้บ่อยๆ ยิ่งในช่วงที่นักการเมืองแบ่งพรรคแบ่งพวกแย่งชิงอำนาจ มีข่าววิ่งเต้นเพื่อจัดรัฐบาลใหม่ อาจทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายและคิดว่าข่าวการเมืองพวกนี้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตเรา แต่ถ้ามาลองคิดกันดูดีๆ การเมืองเกี่ยวข้องกับชีวิตเราเกือบทุกด้าน เช่น ถ้ารัฐประกาศเพิ่มอัตราภาษี คนไทยที่เข้าเกณฑ์ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม, หรือรัฐจะใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ประชาชนก็อาจจ่ายเงินค่าเดินทางน้อยลง เป็นต้น
ดังนั้น Thairath Money อยากชวนมาเจาะลึกกันว่า “การเมืองเกี่ยวกับเงินในกระเป๋าเราแค่ไหน”
ประเด็นแรกเริ่มกันที่ “การเมือง = คนออกนโยบายทางเศรษฐกิจ” ดังนั้น ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยจะดีขึ้นหรือแย่ลง ย่อมขึ้นอยู่กับคนหรือพรรคการเมืองที่ประชาชนเลือกมาจะทำนโยบายออกมาแบบไหน และมีความต่อเนื่อง “เป็นที่ประจักษ์” หรือไม่ เพราะถ้ารัฐบาลไม่มีเสถียรภาพก็อาจทำให้ภาคธุรกิจหรือนักลงทุนไม่มั่นใจ ไม่ควักเงินลงทุน ผลคือเศรษฐกิจไทยก็จะชะลอลงและอาจพัฒนาช้ากว่าคนอื่นๆ
ทั้งนี้ ในด้านการลงทุนมีข้อมูลจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ระบุว่า เมื่อการเมืองไม่แน่นอนจะส่งผลต่อ “ความแปรปรวนของการลงทุนภาคเอกชน” ในระดับที่ค่อนข้างสูงถึง 16% ซึ่งย้ำกว่าความขัดแย้งและสถานการณ์ต่างๆ ทางการเมืองจะส่งผลว่าต่อการตัดสินใจของนักลงทุนเสมอ
ตัวอย่างเช่น ช่วงที่ผ่านมากระแสข่าว แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (คนที่ 31) ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งด้วยกรณีคลิปเสียงอังเคิล ทำให้ทุกคนต่างสงสัยว่าประเทศไทยจะเดินไปทางไหน นโยบายที่วางแผนไว้หรือเริ่มไปแล้วจะยังทำได้ต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งช่วงนี้คงหนีไม่พ้นคำถามที่ว่า “จะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่หรือไม่” จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนซึ่งอาจทำให้นักลงทุน ภาคธุรกิจจะรอดูก่อนว่า ใคร หรือ ฝ่ายไหนจะมาเป็นรัฐบาลและนโยบายต่างๆ ของไทยจะเป็นอย่างไร
อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนว่า การเมืองไม่นิ่งหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง เศรษฐกิจไทยก็เจ็บไปด้วยอย่างช่วงที่ไทยเกิดรัฐประหารขึ้นในปี 2557 GDP ไทยโตต่ำ 1% ส่วนหนึ่งก็เพราะสถานการณ์ความรุนแรงในไทยที่เพิ่มขึ้นทำให้การลงทุนใหม่ชะงัก ธุรกิจฝั่งโรงแรมก็เจอผลกระทบไปด้วย และเมื่อความเชื่อมั่นลดลง คนก็กังวลจนจับจ่ายใช้สอยน้อยลงด้วย
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า ‘เรื่องการเมือง ไม่ใช่เรื่องไกลตัว’ เพราะการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมักตามมาด้วยผลกระทบต่อหลายภาคส่วนโดยเฉพาะเศรษฐกิจ และประชาชน
มาถึงอีกส่วนสำคัญคือ การลงทุนในตลาดหุ้นไทย หรือ SET Index ที่เมื่อการเมืองเปลี่ยนแปลง หลายๆ ครั้งจะมักจะสร้างความผันผวนและส่งผลกระทบต่อเนื่องมาที่ตลาดหุ้นไทยอีกด้วย ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา เช่น วันที่ 29 สิงหาคม SET Index ปิดตลาดที่ 1,236.61 จุด ลดลง 13.48 จุด (-1.08%) จากวันก่อนหน้า หลังมีข่าวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ และครม. ชุดปัจจุบันก็หมดวาระไปด้วยกัน
หรือหากย้อนไปในปี 2567 หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลง ปิดตลาดอยู่ที่ 1,292.69 จุด ลดลง 5.10 จุด (-0.39%) จากวันก่อนหน้า ซึ่งตอนนั้นหลายฝ่ายต่างลุ้นว่า ดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาทจะทำได้จริงไหม
อย่างไรก็ตาม ข่าวนโยบายการเมือง ยังเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงต่อการลงทุนในหุ้นไทย ถ้ามีนโยบายใหม่ๆ ตลาดและนักลงทุนต่างใช้ข้อมูลเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจว่าหุ้นไหนจะไปต่อ เช่น นโยบายช้อปดีมีคืน ที่ให้คนไทยซื้อสินค้าแล้วนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก็ทำให้หลายคนคาดการณ์ต่อว่า หุ้นกลุ่มค้าปลีกจะขยับขึ้น
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าข้อมูลต่างๆ สื่อให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันระหว่าง เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน และการเมือง ไปพร้อมๆ กัน
หลายคนคงจะเห็นแล้วว่าปัจจัยการเมืองอาจส่งผลต่อเงินในกระเป๋าเราทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะด้านการลงทุนที่อาจผันผวนมากขึ้น ดังนั้นเราจะบริหารพอร์ตหุ้นในมือเราอย่างไร
ประเมินความเสี่ยง: ก่อนจะลงทุนหลายคนต้องรู้อยู่แล้วว่าเรารับความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้มากแค่ไหน ที่สำคัญกว่าคือ อาจต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองในปัจุจบัน เช่น นโยบายภาครัฐ, ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, Geopolitics (ภูมิรัฐศาสตร์) เป็นต้น เพื่อประเมินว่าจะกระทบต่อสิ่งที่เราเข้าไปลงทุนมากแค่ไหน มองการลงทุนระยะยาว
อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว: เลือกกระจายความเสี่ยงการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์อื่นเพื่อลดแรงกระแทกเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ, ทองคำ หรืออื่นๆ ไม่ใช่แค่ลงทุนแต่หุ้นในไทย เป็นต้น
ลงทุนต้องมองยาวๆ: การเมืองเปลี่ยนก็อาจทำให้นโยบายของรัฐในระยะสั้นไม่เป็นไปตามแผน เช่น เมื่อมีข่าวโครงการ รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องอย่าง BTS, BEM ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากที่คนคาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น แต่พอมีข่าวเลื่อนใช้งานออกไปก็ทำให้ราคาหุ้นทั้ง 2 ตัวนี้ปรับลดลง ดังนั้นการจะลงทุนในหุ้นควรดูที่พื้นฐานการเติบโตระยะยาวมากกว่าปัจจัยในระยะสั้น
เกาะติดสถานการณ์: ข่าวการเมืองและนโยบายมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ดังนั้นถ้าเรารู้และติดตามสถานการณ์อาจช่วยให้เราประเมินโอกาสและความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้เราปรับปรับแผนการลงทุนให้เหมาะสมได้ด้วย
ทุกการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง ดังนั้นถ้าจะเริ่มต้นลงทุน เราควรติดตามข่าวสารบ้านเมือง หรือทำความเข้าใจอย่างรอบด้านเพื่อช่วยให้การตัดสินใจง่ายยิ่งขึ้น
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney