“บ้านไม่ใช่ทรัพย์สินของคุณ เพราะทรัพย์สินคือสิ่งที่จะเอาเงินเข้ามาในกระเป๋า แต่บ้านคือสิ่งที่จะเอาเงินออกจากกระเป๋าคุณ และไปเข้ากระเป๋าธนาคารแทน ดังนั้นบ้านเป็นทรัพย์สินของธนาคาร ไม่ใช่ของคุณ”
นี่คือวาทะเด็ดของ “ซีเค เจิง” CEO บริษัท FASTWORK วิทยากรด้านการเงินขวัญใจคนรุ่นใหม่ ที่ถูกแชร์ต่อและกลายเป็นกระแสถกเถียงบนโลกออนไลน์ทันที เพราะมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ฝั่งหนึ่งมองว่า “บ้าน” คือภาระที่สร้างหนี้สินมหาศาล ในขณะที่อีกฝั่งยืนยันว่าการผ่อนบ้านคือการสร้างทรัพย์สินและความมั่นคงในชีวิต แล้วความจริงคืออะไรกันแน่? บทความนี้ชวนมาหาคำตอบกัน
บ้านในมุม “หนี้สิน”
แนวคิดนี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกโดย Robert Kiyosaki ผู้เขียนหนังสือ Rich Dad Poor Dad เขาให้นิยามไว้ว่า ...
- ทรัพย์สิน (Asset) = สิ่งที่ทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋า
- หนี้สิน (Liability) = สิ่งที่ทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋า
บ้านที่เราอยู่อาศัยเองจึงเข้าข่าย “หนี้สิน” เพราะแทนที่จะสร้างรายได้ กลับกลายเป็นภาระที่ต้องจ่ายต่อเนื่องทุกเดือน
เหตุผลสำคัญที่สนับสนุนแนวคิดนี้ ได้แก่
- ภาระผ่อนและดอกเบี้ย : การกู้บ้านมักยาวนาน 20–30 ปี และเมื่อรวมดอกเบี้ยแล้ว ยอดที่จ่ายจริงอาจมากกว่าราคาบ้าน 1.5–2 เท่าตัว
- ค่าใช้จ่ายแฝง : เช่น ค่าซ่อมบำรุง, ค่าประกันภัย, ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเป็นรายจ่ายที่เลี่ยงไม่ได้ และต้องจ่ายออกตลอดไป
- โอกาสทางการเงินที่หายไป : เงินดาวน์บ้าน 10–20% หากนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า อาจงอกเงยได้มากกว่าการ “เก็บไว้ในบ้าน”
- สภาพคล่องต่ำ : แม้บ้านจะเป็นสิ่งที่มีมูลค่าสูง แต่บ้านก็ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที การขายต่อใช้เวลานาน และอาจขายไม่ได้ในราคาที่หวัง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ซัพพลายล้นตลาด
- ราคาไม่ได้ขึ้นเสมอไป : ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ระบุว่า ราคาคอนโดฯ บางทำเลในกรุงเทพฯและปริมณฑลมีแนวโน้มลดลงติดต่อกันหลายปีแล้ว
ทั้งหมดนี้ จึงชี้ว่าบ้านอาจเป็น “หนี้สินระยะยาว” หากซื้อโดยไม่คำนึงถึงภาระทางการเงินและความสามารถในการผ่อนจริง
บ้านในมุม “ทรัพย์สิน”
ในอีกด้านหนึ่ง หลายคนกลับมองว่าบ้านคือทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดในชีวิต และเป็นการสะสมความมั่งคั่งที่จับต้องได้ ขาดบ้าน ชีวิตก็ไม่ “มั่นคง”
เหตุผลที่สนับสนุนแนวคิดนี้ ได้แก่
- การสะสมความมั่งคั่งระยะยาว : บ้านและที่ดินถือเป็น “Store of Value” ที่มักมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามเวลา โดยเฉพาะในทำเลที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ราคาที่อยู่อาศัยแนวราบมีแนวโน้มขยับขึ้นสม่ำเสมอตามการเติบโตของเมือง
- ความมั่นคงของชีวิต : การมีบ้านของตัวเองคือการปลดล็อกความเสี่ยงเรื่องค่าเช่าที่ปรับขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อผ่อนหมด บ้านกลายเป็นกรรมสิทธิ์ที่สร้างความอุ่นใจให้ครอบครัวได้
- หลักประกันทางการเงิน – บ้านสามารถนำไปใช้ค้ำประกันเงินกู้ หรือทำสินเชื่อรีไฟแนนซ์ / Home Equity Loan ได้ ถือเป็น “ทรัพย์สินด้านเครดิต” ที่สถาบันการเงินยอมรับโดยทั่วไป
- สร้างรายได้เสริม : หากปล่อยเช่า บ้านสามารถเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินที่ก่อรายได้ (Income Generating Asset) ทั้งในรูปค่าเช่าและกำไรจากการขาย (Capital Gain)
- เทียบกับค่าเช่า : การจ่ายค่าเช่าเป็นเงินที่ “หายไปตลอดกาล” ในขณะที่การผ่อนบ้านแม้จะเป็นภาระ แต่ส่วนหนึ่งคือเงินต้นที่กลับมาเป็นทรัพย์สินของเรา
เมื่อมองในมุมนี้ “บ้าน” จึงไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นการลงทุนเพื่อความมั่นคงและสร้างความมั่งคั่งระยะยาว
สรุปแล้ว “บ้าน” เป็น ทรัพย์สิน หรือ หนี้สิน กันแน่ ?
ความจริงแล้ว บ้านอาจไม่ใช่ “ทรัพย์สินแท้” หรือ “หนี้สินแท้” หากแต่เป็น สินทรัพย์กึ่งกลาง (Hybrid Asset) ที่ขึ้นอยู่กับมุมมองและการบริหารจัดการ
บ้านจะกลายเป็น "หนี้สิน" ถ้า...
- ซื้อบ้าน เกินกำลัง ผ่อนเกินกว่า 40% ของรายได้ต่อเดือน และต้องกู้ยืมจนกระทบชีวิตประจำวัน แบบนี้เรียกว่า “ภาระหนี้”
- มีค่าใช้จ่ายแฝงตลอดเวลา ค่าซ่อมบำรุง, ค่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง, ค่าธรรมเนียมต่างๆ ทำให้เงินไหลออกต่อเนื่อง โดยที่บ้านยังไม่สร้างรายได้กลับมา บ้าน อาจเป็นหนี้สิน สำหรับคุณ
- บ้านที่ซื้อทำเลไม่ดี ราคาตลาดไม่ขึ้น หรือ สภาพคล่องต่ำ ขายต่อยาก ก็ไม่ต่างจาก หนี้สิน
บ้านจะกลายเป็น "ทรัพย์สิน" ถ้า...
- เลือกซื้อบ้านในทำเลที่มีมูลค่าเพิ่ม แนวโน้มการเติบโตของราคาอยู่ในทิศทางบวก บ้าน จึงสามารถเก็บมูลค่าในระยะยาว แบบนี้ “บ้าน” เอียงไปทางทรัพย์สิน
- หากบ้านสามารถสร้างรายได้ เช่น ปล่อยเช่า, แบ่งเป็นโฮมออฟฟิศ หรือใช้เป็นหลักประกันกู้ธุรกิจ บ้านจึงเปลี่ยนจาก “ค่าใช้จ่าย” เป็น “สินทรัพย์สร้างเงินสด” ได้
- ผ่อนบ้านอยู่ในระดับเหมาะสม (ไม่เกิน 30–35% ของรายได้) และไม่กระทบคุณภาพชีวิต บ้าน จึงมีความหมาย ทรัพย์สินเพื่อความมั่นคงระยะยาวได้
ดังนั้น คำพูดของ CK จึงไม่ใช่การปฏิเสธคุณค่าของการมีบ้าน แต่เป็นการชี้ให้ตระหนักว่า บ้านอาจไม่ได้เป็นทรัพย์สิน “อัตโนมัติ” อย่างที่หลายคนเชื่อ ทุกอย่างขึ้นกับ “เป้าหมายทางการเงิน” และ “วินัยทางการเงิน” ของเจ้าของบ้านเอง ดังนั้น คำถามที่สำคัญกว่าคือ… สำหรับคุณ บ้านคือภาระที่ต้องจ่าย หรือ คือทรัพย์สินที่จะต่อยอดในอนาคต?
ที่มา : Robert Kiyosaki, Rich Dad Poor Dad (1997) ,ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ,ธปท.,KKP