
ท่ามกลางบริบททางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ทั้งจากค่าครองชีพที่พุ่งสูง ภาระหนี้สินเพื่อการศึกษา ความไม่แน่นอนในตลาดแรงงาน และเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้คนรุ่นใหม่หาวิธีรับมือกับความท้าทายที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต และกำลังสร้างกฎเกณฑ์ทางการเงินขึ้นใหม่เพื่อวางรากฐานชีวิตให้มั่นคง
จากผลสำรวจของ The Harris Poll ในนามของ Dub ที่พูดถึงการรีเซ็ตความมั่งคั่งในสหรัฐอเมริกา ปี 2025 พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงด้านการเงินของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในหมู่ Gen Z ที่มีอายุ 18 - 28 ปี และ Millennials ที่มีอายุ 29 - 44 ปี
แต่สิ่งที่น่าสนใจจากรายงานนี้คือการที่ Gen Z ตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ทางการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะรายงานกล่าวว่า ในขณะที่ชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยตั้งเป้าที่จะมีอิสรภาพทางการเงินตอนอายุ 53 ปี แต่คนรุ่น Gen Z มองต่าง เพราะพวกเขาต้องการไปยืนอยู่ที่จุดนั้นตอนอายุ 32 ปี
ทว่า คนกลุ่มนี้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายอย่างที่อาจทำให้ไปถึงเป้าหมายได้ช้าลง ทั้งจากปัญหาหนี้สิน (46%) และรายได้ที่ยังน้อยอยู่ (33%) แต่ 97% ของ Gen Z ที่ยังไม่บรรลุอิสรภาพทางการเงินนั้นยังคาดหวังว่าการเงินของพวกเขาจะไปถึงจุดอิสระก่อนอายุ 65 ปี และ 94% อยากทำให้เป้าหมายนี้สำเร็จก่อนอายุ 55 ปี
และยังกล่าวอีกว่า แม้การตั้งเป้าหมายในครั้งนี้ของ Gen Z ในสหรัฐฯ จะเต็มไปด้วยความท้าทายและอาจดูเกินจริงไปบ้าง แต่ความตั้งใจของพวกเขากำลังตอกย้ำถึงความรู้สึกเร่งด่วนด้านความสำเร็จเรื่องการเงิน ของช่วงวัยที่เติบโตมาท่ามกลางความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและปัญหาหนี้เพื่อการศึกษาที่พอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ และมันอาจเป็นความกดดันที่ผลักให้พวกเขาต้องรีบวางแผนการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย
กลับมาพูดถึงบริบทของประเทศไทยกันบ้าง การมีอิสระทางการเงินที่หลายคนฝันถึงนั้นเป็นความฝันของคนไทยหลายคน รวมถึง Gen Z ในไทยด้วย โดยอ้างอิงจากผลสำรวจของวีซ่า หัวข้อ “พาเจาะลึก Gen Z ว่าที่ผู้กำหนดทิศทางธุรกิจและเทรนด์เซ็ตเตอร์รุ่นต่อไปของประเทศไทย” ระบุว่า
Gen Z ในไทย (อายุ 14 - 27 ปี) มากกว่า 11.6 ล้านคน คิดเป็น 17% ของประชากรทั้งหมดในประเทศไทย โดย 49% คือคนที่มีทำงาน และอีก 12% คือคนที่แต่งงานแล้ว
ซึ่งคนกลุ่มนี้ มองว่าอิสรภาพทางการเงินไม่ใช่แค่เป้าหมายระยะยาวเท่านั้น แต่เป็นที่พวกเขาให้ความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน โดยผลสำรวจของวีซ่าพบว่า 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าอิสรภาพทางการเงินคือหนึ่งในเป้าหมายชีวิตที่สำคัญ ขณะที่ 31% ตอบว่ากำลังออมอย่างสม่ำเสมอ แม้ไม่มีสูตรออมที่ตายตัว แต่พยายามออมเงินเมื่อมีโอกาส และน่าสนใจคือ 57% ตอบว่าพวกเขามีการวางแผนการเงินอย่างชัดเจนแล้ว
และจากข้อมูลเดียวกันยังพบอีกว่า Gen Z ให้ความสำคัญด้านความรู้เรื่องการเงิน โดย 59% มีการหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอด และ 81% กำลังเริ่มสร้างความมั่งคั่งผ่านจากการทำงาน หรือการลงทุน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับการเตรียมพร้อมด้านอิสระทางการเงินและความมั่นคงในระยะยาวไม่น้อยไปกว่า Gen Z ในสหรัฐฯ เลยก็ว่าได้
“อิสระทางการเงิน” หากเรามีสิ่งนี้เร็วมากเท่าไหร่ นั้นอาจหมายความว่าเรามีสิทธิที่จะสบายกายและใจได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น เพราะเราสามารถเลือกได้ว่าจะทำงานต่อดีหรือไม่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ซึ่งแตกต่างจากการเกษียณที่หมายถึงการสิ้นสุดการทำงานไปเลย
แต่เราต้องมีเงินมากเท่าไหร่ถึงพอแลกกับอิสระที่ว่านั้น?
คำถามนี้ถูกตอบโดย Set Investnow เอาไว้ในบทความ “มีเท่าไรถึงเรียกว่ามีอิสรภาพทางการเงิน” ว่า แต่ละคนมีความต้องการ การใช้ชีวิต และภาระที่แตกต่างกันมาก ดังนั้น แต่ความต้องการเงินเพื่อให้มีอิสรภาพทางการเงินย่อมแตกต่างกันไปด้วย
ทั้งยังเสริม 3 หัวใจหลัก ที่ต้องคิดเมื่อจะวางแผนคำนวณว่าเราควรมีเงินเท่าไหร่ถึงจะมีอิสรภาพทางการเงินได้นั้นคือ
หากนำทั้ง 3 หัวใจหลักมาคำนวณรวมกันแล้ว จึงจะรู้ว่าเราต้องเตรียมเงินไว้มากเท่าไหร่ถึงจะพอดีต่ออิสระทางการเงิน
ทั้งนี้ วิธีการคำนวณดังกล่าวเป็นเพียงหนึ่งตัวช่วยให้วางแผนการเงินง่ายขึ้น แต่เป้าหมายที่วางเอาไว้นั้นจะสำเร็จเร็วหรือช้าล้วนแต่ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2564 ระบุว่า คนไทยมีอิสรภาพทางการเงินหลังเกษียณเพียง 5% เท่านั้น แต่อย่าเพิ่งท้อใจไป แต่เราต้องรีบวางแผนและตั้งใจทำมันให้สำเร็จมากขึ้น หากคิดที่จะมีอิสระไว ยิ่งต้องเร่งสะสมเงินให้ไวยิ่งกว่า ดังนั้นสามารถเริ่มวางแผนการเงินของตัวเองได้ตั้งแต่วันนี้ เพื่ออิสระภาพที่รอเราอยู่ในวันข้างหน้า
ที่มา : The Harris Poll, VISA, Set Investnow
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money
เพื่อให้คุณ “การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney