
ในโลกที่ค่าครองชีพพุ่งไม่หยุด เงินเดือนขึ้นช้ากว่าเงินเฟ้อ และความฝันเรื่อง “อิสรภาพทางการเงิน” ดูห่างไกลมากขึ้นเรื่อยๆ
การวางแผนการเงิน กลายเป็นเรื่องจำเป็น ไม่ใช่แค่ “ควรทำ” แต่เป็น “ต้องทำ” แต่ปัญหา คือ แม้หลายคนพยายามวางแผนแล้ว แต่ยังรู้สึกว่า “ชีวิตการเงินไม่ดีขึ้นสักที”
ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเราอาจยังไม่เข้าใจ 3 คำสำคัญ ที่จริงๆ แล้ว สามารถเปลี่ยนอนาคตการเงินของเราได้จริง
1. สินทรัพย์ (Asset)
ถ้าเปรียบเปรยให้เข้าใจง่ายๆ สินทรัพย์ คล้ายกับเครื่องมือ ที่จะ “ใส่เงิน” เข้ากระเป๋าของเรา ไม่ว่าจะเป็น หุ้น กองทุน อสังหา สิทธิ์ทางรายได้ หรือ แม้แต่ทักษะที่ต่อยอดเป็นเงินได้ในอนาคต
ซึ่งในการวางแผนการเงินนั้น “ สินทรัพย์” ถือเป็น “แกนกลาง” ที่เราควรสร้างและบริหารให้เติบโต เพราะจะเป็นตัวสร้างความมั่นคง และอิสรภาพทางการเงินในระยะยาวได้ คนที่เริ่มสร้างสินทรัพย์ตั้งแต่เนิ่นๆ จะมีรายได้ ที่ไม่ได้ผูกติดกับเวลาหรือแรง
สมมติว่า คนคนหนึ่ง มีเงินเดือนเดือนละ 30,000 บาท
ถ้าใช้หมดทุกเดือน โดยไม่มีการสร้าง “สินทรัพย์” เลย ปลายทาง คือ รายได้จบที่หมดหายไปกับเดือนนั้น
แต่ถ้านำมาเริ่มทยอยซื้อกองทุน หุ้น ปล่อยเช่าห้อง หรือฝึกทักษะที่แปลงเป็นรายได้เสริมได้ในอนาคต ก็จะคล้ายกับการปั้น “สินทรัพย์” ที่จะสร้างกระแสเงินสดให้กับคนคนนั้นไปเรื่อยๆ แม้วันหนึ่งอาจจะไม่ทำงานประจำแล้วก็ตาม
นี่เอง อาจทำให้เราต้องเริ่มตั้งคำถามแล้วว่า ทุกวันนี้ เรากำลังสะสมอะไรอยู่? “ของที่มีค่า” หรือแค่ “ของที่มีราคา แต่ไม่สร้างรายได้เลย?”
2. หนี้สิน (Liability)
ก็คือ ของที่ “ดึงเงิน” ออกจากกระเป๋าของเรา เป็นภาระผูกพันที่เราต้องชดใช้แก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็น หนี้ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ บัตรเครดิต หรือ แม้แต่ไลฟ์สไตล์ที่เกินตัว
หนี้บางอย่างอาจดูเหมือนจำเป็น แต่ถ้าสะสมมากไป หรือไม่บริหารให้ดีมันจะกลายเป็น “กรง” ที่ขังอนาคตทางการเงินของเราได้เหมือน
และถ้าแบ่งความหมายอย่างละเอียด “หนี้สิน” ยังแบ่งออกเป็นได้ 2 ประเภท
สิ่งสำคัญ คือ เราต้องแยกให้ออก ว่าอะไรคือ หนี้ดี ที่สร้างโอกาส และอะไร คือ หนี้เสีย ที่อาจพาให้เราถอยหลังทุกเดือนๆ เพราะเกี่ยวพันกับการวางแผนการเงินโดยตรง
เนื่องจาก ถ้าเรามีภาระต้องจ่ายมากเกินไปในแต่ละเดือน เงินที่ควรเหลือเก็บ หรือเอาไปลงทุนสร้าง “สินทรัพย์” ก็จะหายไปหมด ขณะคนที่วางแผนการเงินดี จะมีสัดส่วนหนี้ที่เหมาะสม เช่น ผ่อนบ้านไม่เกิน 30% ของรายได้ และ ไม่มีหนี้บัตรสะสม รวมถึง มีแผนปลดหนี้ภายในเวลาด้วย
3. กระแสเงินสด (Cash Flow)
คือ ภาพรวมว่า "เงินเข้า" กับ "เงินออก" ของเราเป็นยังไง แม้จะมีรายได้เยอะ แต่ถ้ารายจ่ายเยอะกว่าหรือหมดไปกับหนี้สิน นั่นทำให้เราอาจไม่มีเงินเหลือเก็บเลย
กระแสเงินสดที่ดี จะทำให้เราควบคุมชีวิตตัวเองได้กระแสเงินสดติดลบ บ่งบอกว่า เงินทำงานไม่พอ ต้องกู้อนาคตมาใช้
ตัวอย่าง เดือนนี้มีเงินเข้า (รายรับ):
รวมเงินเข้า = 35,000 บาท
รายจ่าย
รวมเงินออก = 31,000 บาท
กระแสเงินสดสุทธิ (Net Cash Flow): บวกอยู่ 4,000 บาท
แบบนี้ยังถือว่า “รอด” เพราะมีเงินเก็บหรือลงทุนต่อได้ แต่ถ้ารายจ่ายเกินรายรับ เช่น 38,000 บาท นั่นจะติดลบ -3,000 บาท หมายถึง คุณ “ต้องกู้” หรือ “ถอนเงินเก็บมาใช้” ทุกเดือน ซึ่งถือว่า เสี่ยงสูงในระยะยาว
สรุปแล้ว ใครที่อยากเริ่มวางแผนการเงิน อาจไม่ต้องมีเงินเยอะก่อนขอแค่เข้าใจให้ถูก เริ่มต้นจาก 3 คำนี้ แล้วจะทำให้การ “วางแผน”มีโอกาสเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น
ที่มา : สมาคมนักวางแผนการเงินไทย , ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney