
เคยไหมที่รู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบหมดไฟ แต่ก็ยังต้องลากสังขารไปทำงาน?
“มีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่สูทสีดำ เสื้อเชิ้ตสีขาว หน้าตาเหมือนคนผูกเนกไทนอน ตั้งแต่เมื่อคืน เขาใช้เวลา 30 นาที เดินทางจากสถานีรถไฟใต้ดินสายสามไปที่ทำงาน แต่หน้าตาดูเหนื่อยล้า เหมือนเดินทางมาแล้วสามปีเต็ม ถึงจะเหนื่อยจนผล็อยหลับไป แต่เขาก็เป็นชาวออฟฟิศมือโปร ที่ตื่นเองก่อนถึงที่หมายหนึ่งสถานี”
แม้เขาจะให้กลิ่นอายเหมือนพนักงานออฟฟิศที่พร้อมตะโกนว่า
“เราทุกคนล้วนมีจดหมายลาออกอยู่ในใจเสมอ”
แต่เขาก็ทำทุกงานที่ได้รับมอบหมายโดยไม่ปริปากบ่น
ราวกับเป็น “ลูกจ้างดีเด่น” ท่านหนึ่ง
และในโลกความเป็นจริงของ “มนุษย์เงินเดือน” ชีวิตของหลายคนคงไม่ต่างอะไรกับชายผู้นี้
เรากำลังพูดถึงซีรีส์เกาหลี "Law in the City" ที่ออกอากาศทาง Disney+ Hotstar กับนักแสดงมากฝีมืออย่าง อีจงซอก, มุนกายอง, คังยูซอก, รยูฮเยยอง และ อิมซองแจ
โดยเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิตทนายความ ออกมาอย่างน่าสนใจ สะท้อนมุมมองการใช้ชีวิต และการทำงานของบรรดามนุษย์เงินเดือนในฐานะ “ทนายความ” แม้ปากจะบ่นว่า “เฮ้อ ไม่อยากทำงานเลย” แต่กายหยาบก็พร้อมที่จะว่าความในทันที
นั่นก็เพราะว่าชีวิตการทำงานของพวกเขา ต้องอยู่กับการแข่งขันอันดุเดือด ในย่านซอโชดง ซึ่งเป็นศูนย์รวมสำนักงานกฎหมายชั้นนำของเกาหลีที่มีจำนวนมากกว่าร้านอาหารเสียอีก ทำให้เกิดความท้าทาย ความกดดัน จนนำมาซึ่งความเหนื่อยล้า ช่วงเวลาตอนพักเที่ยงที่ได้นั่งกินข้าวพร้อมเพื่อน จึงกลายเป็นช่วงเวลาที่แฮปปี้ที่สุดในแต่ละวัน
พล็อตเรื่องของซีรีส์นี้จะพาไปทำความรู้จักกับทนายผู้ช่วย 5 คน ที่ทำงานอยู่ตึกเดียวกัน แต่คนละชั้น คนละบริษัท ก่อนที่จะเกิดการควบรวมกิจการ ทำให้ทุกคนกลายมาเป็นเพื่อนร่วมทีมกันในที่สุด
"Law in the City" ไม่ใช่แค่ซีรีส์ที่เน้นบทบาททนายความ ที่ใส่สูทขึ้นศาล เพื่อว่าความให้ฝ่ายโจทย์ หรือฝ่ายจำเลยเพียงเท่านั้น แต่ยังเจาะลึกลงไปถึงวิธีการทำงานจริงๆ ที่หลากหลาย ทั้งการเสียหลักในชั้นศาลเพราะลูกความไม่พูดความจริง การต้องว่าความคดีหย่าร้างที่ฝ่ายจำเลยคือแฟนเก่า การได้รู้ซึ้งถึงบทบาทของ "ทนายความ" ที่ต้องไม่เอาใจ และความรู้สึกลงไปเล่น เพราะจะทำให้เราเองกลายเป็นคนที่เจ็บ
นอกจากนี้ ซีรีส์ยังแสดงให้เห็นถึงบทบาทที่เปลี่ยนไปของทนายความ เช่น จากทนายความสู่การเป็นแม่คน หรือทนายความที่ยึดถือว่า "เงินคือพระเจ้า" และรู้สึกเบิกบานใจทันทีที่เงินเดือนเข้าบัญชี รวมถึงผลกระทบจากการทำหน้าที่ที่อาจกลายเป็นบาดแผลในใจของผู้คนโดยไม่ตั้งใจก็ตาม
ด้วยเหตุนี้เอง ‘Law and The City’ จึงฉีกแนวซีรีส์กฎหมายแบบที่เราคุ้นเคยไปอย่างสิ้นเชิง เพราะแทนที่จะเน้นความเข้มข้นของการต่อสู้คดี เหมือนซีรีส์ทนายความทั่วไป แต่ซีรีส์เรื่องนี้เลือกที่จะพาผู้ชมดำดิ่งสู่ชีวิตประจำวันของทนายความ ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
เราจะได้เห็นทุกแง่มุมของพวกเขา ตั้งแต่การเดินทางไปทำงาน การกินข้าวที่ปรากฏบ่อยครั้งจนน่าจะกลายเป็นคู่มือร้านอร่อยได้เลย ไปจนถึงความรู้สึกนึกคิดที่ผันเปลี่ยนไปตามแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม ความเคร่งเครียด หรือแม้แต่ความท้อแท้จนมองไม่เห็นทางออก
แม้เรื่องราวจะดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่หวือหวา และวนเวียนอยู่กับกิจวัตรเดิมๆ แต่ใน ความธรรมดานั้นกลับอัดแน่นด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง โดยไม่จำเป็นต้องสร้างจุดไคลแม็กซ์ที่ยิ่งใหญ่ แค่เพียงดำรงอยู่ด้วยตัวตนของมัน "Law in the City" ก็สามารถ เข้าถึงหัวใจของผู้ชมได้อย่างง่ายดาย
ซีรีส์เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึง "บทเรียนชีวิต" ที่เตือนใจเราว่าในโลกของการทำงานจริง การรักษาสมดุลระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่และสุขภาพใจของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง มันคือการยอมรับว่าความเหนื่อยล้าเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทาง
แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักหาความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเยียวยาและเติมพลังให้เราพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายในวันต่อไป เพราะนี่คือชีวิตของ "มนุษย์เงินเดือน" ที่ไม่ว่าจะเป็นทนายความหรืออาชีพใด ต่างก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างเข้าใจและเข้มแข็ง
แต่ใช่ว่าในชีวิตจริงจะไม่มีเรื่องราวเหล่านี้ เพราะหากดูข้อมูลของ จากรายงานของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในปี 2566 พบว่า คนวัยทำงานใช้เวลาถึง 1 ใน 3 ของแต่ละวันไปกับการทำงาน ซึ่งจากการจัดอันดับของKisi บริษัทเทคโนโลยีให้คำปรึกษาด้านการทำงาน ในปี 2565 พบว่า กรุงเทพฯ ติดอันดับที่ 5 จาก 100 เมืองของประเทศทั่วโลกที่มีผู้คนทำงานหนักเกินไป (Most Overworked Cities) รวมทั้งยังมีพนักงานประจำกว่า 15.1% ทำงานล่วงเวลามากกว่า 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
นอกจากนี้ ข้อมูลจากคณะวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ยังพบว่า 7 ใน 10 ของคนกรุงเทพฯ มีอาการหมดไฟในการทำงาน และจากข้อมูลของสายด่วน 1323 กรมสุขภาพจิต ในปี 2566 วัยแรงงานขอรับบริการเรื่องความเครียด วิตกกังวล และไม่มีความสุขในการทำงานมากถึง 5,989 สาย จากทั้งหมด 8,009 สาย
ดังนั้นเมื่อการทำงานหนักกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต "มนุษย์เงินเดือน" การบริหารจัดการเงินที่ได้รับมาอย่างคุ้มค่าจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้รายได้ที่แลกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย สามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและเป็นหลักประกันความมั่นคงในอนาคตได้
1.สร้างแผนการเงินที่เป็นระบบ การมีแผนการเงินที่ชัดเจนจะช่วยให้สามารถจัดสรรรายได้เพื่อค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน, เงินออม, และการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มต้นด้วยการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อให้เห็นภาพรวมของกระแสเงินสดของตัวเอง
2.ตั้งเป้าหมายทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการออมเพื่อซื้อบ้าน, เพื่อการศึกษาของบุตร, เพื่อการเกษียณอายุ, หรือเพื่อการลงทุน การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้มีแรงจูงใจในการออมและใช้จ่ายอย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น
3.บริหารจัดการหนี้สินอย่างชาญฉลาด หากมีหนี้สิน เช่น หนี้บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ควรวางแผนการชำระคืนอย่างมีวินัย เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและปลดหนี้ให้เร็วที่สุด การมีสุขภาพทางการเงินที่ดีจะช่วยลดความเครียดและความกังวลในชีวิต
4.ลงทุนเพื่ออนาคต พิจารณาการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณรับได้ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม, หุ้น, หรืออสังหาริมทรัพย์ การลงทุนจะช่วยให้เงินเติบโตและสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ทำให้มีอิสระทางการเงินมากขึ้นในอนาคต
5.วางแผนเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน การมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายจำเป็น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การตกงาน, การเจ็บป่วย, หรืออุบัติเหตุได้
6.ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ แม้จะทำงานหนัก แต่การดูแลสุขภาพกายและใจก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การเจ็บป่วยอาจนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด และส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน การมีสุขภาพที่ดีจะช่วยให้ทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ และมีพลังในการใช้ชีวิตมากขึ้น
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้เงินที่ได้รับมาอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่แค่การตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับชีวิตในอนาคต ไม่ต้องใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน และทำให้แม้จะเผชิญกับความเหนื่อยล้าในการทำงานในแต่ละวัน เราก็ยังคงรู้สึกว่าคุ้มค่า และมีกำลังใจที่จะก้าวเดินต่อไปในเส้นทางของ “มนุษย์เงินเดือน” ได้นั่นเอง
อ้างอิง มนุษย์ป้าบ้าซีรีส์ , WANT TO SEE
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney