
“หลายคนไม่เคยคิดถึงเป้าหมายชีวิต หรือจำนวนเงินที่ใช้จ่ายในแต่ละเดือน”
จากผลสำรวจในปี 2565 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ คำนวณโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)พบว่า ในภาพรวมของคนไทย มีสัดส่วน 61% ที่มีการริเริ่มวางแผนการออมเพื่อเกษียณ แต่ท้ายที่สุดแล้วในจำนวนนี้มีเพียง 16% ที่สามารถทำตามแผนได้จริง
อีกทั้งจากการสำรวจโดยจำแนกตามช่วงอายุ พบว่า กลุ่ม Gen Z กว่า 53% ยังไม่ได้คิดหรือเริ่มวางแผนการออมเพื่อเกษียณ ด้วยความคิดที่ว่า “อีกหลายปีกว่าจะเกษียณ” หรือ “Bad things never happen to me” ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ยังคุกรุ่น
1. ไม่เคยคิดถึงวันที่ไม่มีรายได้
“ทุก ๆ วันนี้ เรามักจะไม่ได้นึกถึง Scenario ที่ผิดไปจากชีวิตประจำวันหรอก เวลาเราถามลูกค้าว่า เคยนึกบ้างไหมว่า วันที่เราไม่มีรายได้เท่าเดิมแล้ว หรือไม่มีรายได้เลย จะทำยังไง หลาย ๆ คนตอบคำถามนี้ไม่ได้” ดร.ณชา อนันต์โชติกุล หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์เงินฝาก ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP กล่าว
ในกลุ่มคนอายุน้อย มักไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการเงินของตนเอง เพราะมองว่ายังมีระยะเวลาการทำงานอีกยาวนาน ในขณะที่แท้จริงแล้ว “ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งได้เปรียบ”
สมมติฐานการออมเดือนละ 5,000 บาท ในกรณีที่ได้รับผลตอบแทน 7% ต่อปี พบว่า หากทำการออมต่อเนื่อง 20 ปี จะได้รับผลตอบแทนสะสมรวม 2.56% ของเงินออม ในขณะที่หากมีเวลาออมเพียง 5 ปี จะได้รับผลตอบแทนสะสมรวมเพียง 0.36%
จากตัวเลขด้านบน สะท้อนถึงความสัมพันธ์ของระยะเวลาที่มีผลโดยตรงกับผลตอบแทนของการออม ดังนั้น การตระหนักรู้ และเริ่มต้นอย่างรวดเร็วจึงเป็นเรื่องสำคัญ
อีกหนึ่งประเด็นที่ผู้คนละเลยคือ “ไม่คิดว่าจะอายุยืน” ในขณะที่ข้อมูลจาก J.P. Morgan Asset Management ให้ข้อมูลว่า การวางแผนการเงินสำหรับผู้ที่มีประวัติสุขภาพที่ดี อาจต้องวางแผนสำหรับการใช้ชีวิตอีก 35 ปี
ที่มา : J.P. Morgan
2. คิดว่า ไม่ลงทุน = ไม่เสี่ยง
การฝากเงินอย่างเดียวโดยไม่ลงทุนเลย แม้จะดูไม่เสี่ยง แต่ในระยะยาว มูลค่าของเงินจะลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากถูกเงินเฟ้อกัดกิน
อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 1.5-2% ซึ่งอยู่ในสัดส่วนที่น้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลให้นอกจากการออม อีกหนึ่งส่วนสำคัญในการวางแผนการเงินส่วนบุคคล คือ “การลงทุน”
อย่างไรก็ตาม บางคนต้องการผลตอบแทนสูงๆ และเน้นการลงทุนระยะสั้น เช่น การลงทุนในคริปโตหรือหุ้น โดยไม่กระจายความเสี่ยง เมื่อตลาดผันผวนหนัก อาจทำให้แผนทางการเงินหยุดชะงัก ส่งผลให้ “Asset Allocation” หรือการกระจายการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ จะทำให้การลงทุนงอกเงยอย่างแข็งแกร่ง โดยคำนึงถึงทั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว รองรับความผันผวนของตลาด
ทาง KKP ให้ข้อมูลว่า “ลูกค้าบางคนลงทุนในหุ้นอย่างเดียวเลย และไม่กล้า cut loss หรือวางตัวไหนลง อย่างในกรณีแบบนี้เราก็จะมีบริการเข้าไปช่วยเหลือวางแผนการเงินและการลงทุน เพราะเรามองว่า แผนการเงินของลูกค้าต้องถูกวางอย่างรอบด้าน เป็นองค์รวมและสามารถยืนหยัดในระยะยาว”
3. ไม่มี Protection
ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทยระบุว่า จำนวนประชากรไทยที่มีกรมธรรม์ประกันชีวิต ค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ประมาณไม่ถึง 40% ของจำนวนประชากร ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น หรือเกาหลี
มีการตั้งข้อสังเกตว่าคนส่วนใหญ่มักจะซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ทุกปี มากกว่าการซื้อประกันสุขภาพ เพราะมองว่า “ตัวเองคงไม่ป่วยในเร็ววันนี้”
ในขณะที่ค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8-9% ต่อปี เมื่ออายุมากขึ้น สัดส่วนของรายจ่ายในเรื่องสุขภาพก็จะเพิ่มขึ้นมาก การวางแผนเกษียณ จึงต้องเผื่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเหล่านี้ไว้ การมีประกันสุขภาพจะสามารถแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้
อย่างไรก็ตาม มีทั้งกรณีคนที่มีประกันเยอะมากเกินความจำเป็น จนเหมือนนำเงินไปทิ้ง และในกรณีคนที่ไม่ซื้อหลักประกันอะไรเลย จากทั้ง 2 กรณีสะท้อนได้ว่า การวางแผนทางการเงิน คือการวางแผนเส้นทางชีวิตอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การบริหารสินทรัพย์ไปจนถึงการบริหารชีวิตพร้อมรับทุกความเสี่ยงที่สามารถเข้ามา
ที่มา : KKP, J.P. Morgan , ธนาคารแห่งประเทศไทย
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney