
คนจำนวนมากเติบโตมากับแนวคิดว่า “การทำงานคือหน้าที่” ต้องหางานที่มั่นคง เงินดี และอยู่ให้ได้นานที่สุด เพราะมันคือสิ่งที่รับประกันความปลอดภัยในชีวิต ทั้งในแง่รายได้และสถานะทางสังคม แต่นั่นไม่ใช่วิธีคิดของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น Gen Z คนกลุ่มนี้ไม่ได้มองว่า “ทำงานไปจนเกษียณ” คือปลายทางชีวิตอีกต่อไป
แต่กลับตั้งคำถามกับมันมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่างานที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ เราทำมันไปเพื่ออะไร? เพื่อเงิน? เพื่อความมั่นคง? หรือเพียงเพราะไม่มีทางเลือกอื่น? และถ้าเราจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการทำงาน ก็ควรจะเป็นงานที่ชอบ สนุก และมีความหมาย มากกว่าการ “ได้แค่เงินเพียงอย่างเดียว”
แนวคิดเรื่อง “Meaningful Work” หรือ “งานที่มีคุณค่าในตัวมันเอง” จึงเริ่มกลายเป็นสิ่งที่หลายคนไล่ตาม บางคนอยากลาออกจากองค์กรใหญ่เพื่อไปเป็นฟรีแลนซ์ บางคนอยากเลิกทำงานประจำเพื่อเปิดร้านเล็ก ๆ ตามที่ตัวเองได้วาดฝันไว้ หรือบางคนก็อาจจะอยากมีชีวิตเรียบง่ายในต่างจังหวัด แม้รายได้จะน้อยลง
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน หรือทำไปเพราะเทรนด์ แต่มันคือความพยายามของคนยุคใหม่ที่จะ “ควบคุมเวลา และชีวิตของตัวเอง” ให้ได้มากขึ้น เพราะในวันที่โลกผันผวน สิ่งที่คนต้องการมากที่สุด อาจจะไม่ใช่แค่เงินเดือนที่แน่นอน แต่คือชีวิตที่เราได้เลือกเอง ว่าอยากใช้มันไปกับอะไร
อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญที่ตามมา แล้วงาน และชีวิตที่ “มีความหมาย” แบบที่ว่านั้น จะอยู่รอดได้จริงไหม ถ้าขาด “เงิน” เป็นตัวสนับสนุน เพราะในความจริง งานที่เรารักอาจไม่ใช่งานที่ได้เงินดีเสมอไป และการออกจากระบบงานเดิมอาจหมายถึงความไม่แน่นอน ทั้งรายได้ สุขภาพการเงิน และอนาคต
นี่คือเหตุผลที่ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมาก เริ่มมองหา “ทางสายกลาง” ระหว่างการใช้ชีวิตกับการวางแผนการเงิน เพื่อให้งานที่มีความหมายกับชีวิต ไม่ใช่แค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ แต่คือสิ่งที่สามารถทำได้จริง และอยู่รอดได้ แต่คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วเราจะทำมันได้อย่างไร?
Thairath Money รวบรวม 3 แนวคิดพร้อมขึ้นตอนในการทำ เพื่อช่วยทำให้คน Gen Z สามารถใช้ชีวิต และทำงานได้อย่าง Meaningful !
1.Passion Economy “ทำในสิ่งที่รักให้เป็นอาชีพ และทำให้รอด”
แนวคิดนี้เหมาะกับคนที่มีความสามารถเฉพาะตัวหรืออยากหันมาหาเงินกับสิ่งที่เราชอบหรือถนัด เช่น เป็นบาริสต้า ครีเอเตอร์ ติวเตอร์ กิจการต่าง ๆ ที่เราชอบ ฯลฯ โดยมีขั้นตอนวิธีการคิด และทำไว้ก่อนที่จะลาออก ดังนี้
วิธีนี้ รายได้อาจไม่สม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงแรก นอกจากนี้เรายังจะต้องรู้จักวางแผนภาษีเอง และต้องระวังการหมดไฟ เพราะการที่เราทำสิ่งที่ชอบเป็นอาชีพ มันอาจจะกลายเป็นงานหนักจนเราอาจจะเลิกชอบมันไปเลยก็ได้
2.FIRE (Financial Independence , Retire Early) “ใช้ให้น้อย เก็บให้มาก อนาคตมั่งคั่ง”
แผนการเงินแบบ FIRE เป็นการทำงานหนักในช่วงต้นเพื่อเก็บเงิน และลงทุนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อถึงจุดหนึ่ง รายได้จากการลงทุนก็จะมากพอที่จะเลี้ยงชีพ โดยไม่ต้องพึ่งเงินเดือนอีกต่อไป โดยมีขั้นตอนในการทำ ดังนี้
แผนการเงินแบบ FIRE ต้องมีวินัยสูงในการใช้จ่าย และเก็บเงิน เราจะต้องตัดบางสิ่งบางอย่างออกจากชีวิตไปบ้าง เช่น ช็อปปิ้งน้อยลง ไปเที่ยวน้อยลง ฯลฯ และเราจะต้องทำความเข้าใจความเสี่ยงในการลงทุนเป็นอย่างดี
3.Mini-Retirement
ถ้าตอนนี้เรารู้สึกว่า “ไม่ไหวแล้วกับชีวิต งานมันหนักเกินไป ฉันอยากจะพักเหลือเกิน” แนวคิดนี้คือการหยุดพักงานเพื่อไปใช้ชีวิตที่อยากใช้ เช่น ออกไปเที่ยวในที่ที่อยากไปสัก 2 เดือน ไปเรียนในสิ่งที่อยากเรียนหรือพักอยู่เฉย ๆ ที่บ้าน ฯลฯ โดยมีขั้นตอนในการทำ ดังนี้
เราห้ามพักแบบไม่มีแผน ต้องมีกำหนดการชัดเจนว่าเราจะพักเมื่อไหร่ถึงเมื่อไหร่ แล้วจะกลับไปทำงานตอนไหน บางองค์กรหรือบริษัทอาจจะไม่เข้าใจช่วงที่เราเว้นว่างจากการทำงานที่นานเกินไป และเราต้องมีวินัยทางการเงินที่สูงมาก ๆ ไม่ควรใช้เงินแบบไม่มีแบบแผน
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ชีวิตที่ Meaningful จะเกิดขึ้นได้จริง จะต้องเริ่มจากการวางแผนไม่ใช่แค่ความอยาก เพราะต่อให้ใจเราพร้อมแค่ไหน แต่ถ้าการเงินไม่พร้อม ชีวิตที่ฝัน และการงานไว้ก็อาจไปไม่ถึง
หลายคนลาออกด้วยความหวังว่าจะได้ใช้ชีวิต และทำงานแบบที่อยากทำ แต่เมื่อเงินหมดก่อน ก็ไม่สามารถที่จะทำมันต่อได้แล้ว เพราะฉะนั้น “อิสระ” ที่แท้จริง ไม่ได้มาจากการลาออกเฉย ๆ แต่มาจากการมี “เงินสำรอง วินัยการเงิน และความกล้า” ที่มากพอที่จะทำให้เราสามารถตัดสินใจ เลือกชีวิตแบบที่อยากใช้ และอยู่กับมันได้นานพอ โดยไม่ต้องเครียดเรื่องงานเพื่อเงินในทุก ๆ วัน
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney