
“มีลูกต้องมีเงิน
ไม่มีเงินอย่าเพิ่งมีลูก…”
เป็นข้อความโพสต์ ชวนคิดของคุณแม่ท่านหนึ่ง ที่ถูกแชร์ต่อหลักพัน พร้อมคอมเมนต์หลากหลาย ทั้งที่เห็นด้วย 100% และที่อยากมองให้ลึกกว่านั้น บางคนระบุ ...
“เด็กยุคนี้ ไหนจะค่าประกัน ค่าเดินทาง คอร์สเรียน ว่ายน้ำ ศิลปะ ดนตรี แค่ออกจากบ้านก็เสียตังค์แล้ว”
“ไม่ใช่แค่มีเงินค่ะ ต้องมีเวลา มีแรง มีความเสียสละด้วย”
“ค่าเทอมเป็นล้าน ก็ไม่ได้การันตีว่าลูกจะดี”
“ขนาดมีแบบพอดี บางทียังลำบากใจที่จะจ่ายเลย”
ที่น่าสนใจคือ กระแสนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะสะท้อนแนวโน้มจริงในสังคมไทย ที่คนรุ่นใหม่จำนวนมาก ลังเลจะมีลูก ไม่ใช่เพราะ “หมดรักเด็ก” แต่เพราะ “ต้นทุนการเลี้ยงดู” มันสูงเกินเอื้อม
และอาจกล่าวสรุปได้ว่า ถ้าจะเลี้ยงแบบ “คุณภาพ” อาจต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่จำเป็น และไม่ใช่แค่ต้องมีใจ มีเวลา เท่านั้น แต่ต้องมี “เงิน” เยอะมาก เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ตั้งแต่แรกเกิด วัยเตาะแตะ ถึงวัยอนุบาล ประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย
ลองคิดง่าย ๆ แค่ช่วง วัยอนุบาล ค่าใช้จ่ายที่หลายบ้านต้องเจอ
หรือช่วงอายุ 4 - 12 ปี เป็นช่วงที่ลูกจะต้องเข้าโรงเรียน ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาจากแต่ก่อน โดยหลัก ๆ ที่เพิ่มขึ้นมาจะเป็นค่าเทอม และค่าอุปกรณ์การเรียน
รวมแล้ว ค่าครองชีพลูก 1 คน/ปี อาจทะลุ 250,000 บาท ยังไม่รวมเงินออมเพื่อการศึกษาระยะยาว หรือเงินสำรองฉุกเฉิน ไม่รวมเงินเฟ้อในอนาคต และ ขึ้นอยู่กับคุณภาพชีวิตที่ครอบครัวอยากให้ลูก แม้แต่ค่าใช้จ่ายที่ไม่มีในบัญชี เช่น เวลาและแรงของพ่อแม่
ขณะข้อมูลจาก UNICEF และ TDRI เคยประเมินว่า เด็ก 1 คน ใช้เงินรวมตลอดวัยเรียน 1.2 – 2.5 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องจากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การที่คนรุ่นใหม่ตัดสินใจไม่มีลูก หรือมีน้อยลง ก็มาจาก สาเหตุ “ค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่รายได้เพิ่มขึ้นไม่ทัน”
โดยค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนจบปริญญาตรีในสถาบันการศึกษาของรัฐบาล อาจสูงกว่า 6.3 เท่าของรายได้ต่อหัวต่อปีของประชากร (GDP per capita) และจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หากเข้าเรียนในสถานศึกษาของเอกชน ยิ่งทำให้คนตัดสินใจมีลูกน้อยลง
สะท้อนรายงาน จำนวนเด็กไทยเกิดปี 2567 มีเพียง 461,421 คน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดไม่ถึง 5 แสนคนต่อปี อีกทั้งพบแนวโน้มจำนวนเด็กเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้มี “ลูกเพื่อชาติ”
สวัสดิการของไทย เมื่อเทียบกับประเทศที่มีอัตราการเกิดสูงกว่าไทย ถือว่า น้อยมาก
นี่อาจ ทำให้คนรุ่นหลัง ลังเล“ไม่กล้ามีลูก”เพราะรู้ว่า ถ้าไม่มีเงินพอ อนาคตลูกอาจจะไม่สุขสบาย และอนาคตของตัวเอง ก็อาจจะลำบากด้วย เมื่อไม่มีระบบที่ช่วยแบ่งเบาภาระ “การตัดสินใจจะมีลูก” กลายเป็นเรื่องส่วนตัวที่หนักหน่วง ซึ่งไม่ใช่แค่ปัญหาของครอบครัวเท่านั้น แต่สะท้อนสู่ “ปัญหาโครงสร้างประเทศ” อย่างวิกฤติประชากรที่เด็กเกิดใหม่ลดลง คนสูงวัยเพิ่มขึ้น และระบบเศรษฐกิจต้องแบกรับมากขึ้นเรื่อย ๆ
สุดท้าย บางคนอาจไม่เห็นด้วยกับประโยคที่ว่า “มีลูกต้องมีเงิน” แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครอยากให้ลูกเกิดมา แล้วขาดทุกอย่างที่ควรได้ เพราะแม้เราอาจไม่ได้ต้อง “รวยล้น” ถึงจะมีลูกได้แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเลี้ยงลูกในยุคนี้ มีต้นทุนสูงขึ้นจริง ๆโดยเฉพาะในสังคมเมืองที่หลายครอบครัวอยากให้ลูกได้ “เติบโตอย่างมีคุณภาพ” ก็เป็นต้นทุนที่สูงเอาเรื่อง
อย่างไรก็ดี เราไม่ควรตัดสินใครจากการมีหรือไม่มีลูก แต่สิ่งที่ควรถามคือ วันนี้ เรามีระบบแบบไหน ที่ทำให้คนอยากมีลูก แล้วมั่นใจว่าจะเลี้ยงให้เติบโตได้อย่างมีคุณภาพ? เพราะไม่ว่าจะเลือกมี หรือไม่มี ทุกทางล้วนต้องการ “ความมั่นคง” ที่มากกว่าแค่เงินในกระเป๋า
ที่มา : TDRI , ธปท. ,สถาบันวิจัยประชากรและสัมคม มหาวิทยาลัยมหิดล ,นิด้าโพล
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney