
จากรายงานของสภาพัฒน์พบว่า หนี้ครัวเรือนในประเทศไทยมีอัตราเพิ่มสูงมากขึ้น โดยมูลค่ารวมในสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 16.42 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 88.4% ของสัดส่วน GDPและไทยมีมูลค่าหนี้ครัวเรือนในประเทศสูงอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 10 ปี ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วง
นอกจากหนี้ครัวเรือนแล้ว อัตราหนี้เสีย (NPL) ยังมีมูลค่าสูงถึง 1.22 ล้านล้านบาท ขยายตัว 16.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (QoQ) ที่อยู่ในระดับ 14.1% ซึ่งส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนลดน้อยลง เพราะมีหนี้เสียเพิ่มมากขึ้น โดยส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่ารถยนต์ สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล ฯลฯ
ยิ่งประเทศมีอัตราหนี้ครัวเรือนสูงมากเท่าไหร่ ยิ่งกระทบต่อเศรษฐกิจมากเท่านั้น เช่น ภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงอาจฉุดรั้งไม่ให้เศรษฐกิจเติบโต เพราะรายได้ส่วนใหญ่ต้องเอาไปจ่ายคืนหนี้ที่ติดค้าง แทนที่จะเอาไปใช้จ่ายหมุนเวียนในประเทศหรือลงทุนให้เงินงอกเงย และอาจเสี่ยงกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินเพราะหากคนไม่จ่ายหนี้มากขึ้น เจ้าหนี้จะไม่ได้รับเงินคืน ซึ่งอาจส่งผลเสียในวงกว้างของเศรษฐกิจ และพลิกกลายเป็นวิกฤตทางการเงินได้
การมีหนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล็ก ๆ ที่เราจะมองข้ามได้ แต่มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติหากทุกคนมีหนี้สินติดตัวมาก ดังนั้นเราทุกคนจึงควร “จัดการหนี้” เพื่อให้การเงินและชีวิตของตัวเองดีมากขึ้น
ขั้นตอนแรกของการแก้หนี้ คือต้องวางแผนการเงินใหม่ โดยเริ่มจากการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น งดช้อปของฟุ่มเฟือย และหลีกเลี่ยงมื้ออาหารหรูที่เกินงบในกระเป๋า รวมถึงจดรายรับ - รายจ่ายของตัวเองอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มองเห็นภาพรวมทางการเงินได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นที่ควรจ่าย และอะไรที่ควรลดลง
ต่อมาให้ขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นเพื่อนำเงินก้อนไปจ่ายหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงก่อน และหากยังไม่พอเราอาจจะต้องกู้เงินก้อนใหม่มาปิดหนี้ก้อนเก่า หรือ “รีไฟแนนซ์” แต่ต้องมั่นใจว่าจะได้รับข้อเสนอที่ดีและคุ้มค่ากับตัวเอง รวมถึงต้องหางานเสริมเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม เช่น สอนพิเศษ งานพาร์ตไทม์ในร้านอาหาร หรือแม้แต่การรับจ้างไลฟ์สดขายของใน Tiktok ก็สามารถสร้างเม็ดเงินให้เราเอาไปปลดหนี้ได้
แต่เมื่อเรามีเงินแล้วจะบริหารการจ่ายหนี้ยังไงให้พอดีกับตัวเองล่ะ? นี่คือวิธีแบ่งเงินในแต่ละเดือนเพื่อชำระหนี้ จาก SET โดยให้ข้อแนะนำว่า
นอกจากนี้ข้อมูลของ Make by Kbank ยังระบุว่าการเจรจาประนอมหนี้ก็เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยปลดหนี้ได้ เพราะการไปพูดคุยกับเจ้าหนี้และไม่หนีหายนั้นแสดงถึงความรับผิดชอบของเราที่ตั้งใจจะชำระหนี้ในส่วนที่ติดค้าง และสิ่งที่เราจะได้กลับอาจเป็นข้อตกลงที่จะสามารถพักหรือขอขยายเวลาในการผ่อนชำระได้
แต่ก็ต้องหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ด้วยเช่นกัน เพราะทุกครั้งที่เราผิดนัดชำระนั้น ไม่เพียงแต่จะถูกคิดค่าปรับและค่าทวงถามเพิ่ม แต่ยังทำให้ยอดหนี้พอกพูนและจัดการได้ยากขึ้นในระยะยาว อีกทั้งพฤติกรรมการชำระล่าช้าเป็นประจำยังส่งผลกระทบต่อประวัติเครดิต ทำให้ความน่าเชื่อถือทางการเงินลดน้อยลง ดังนั้นหากอยากปลดหนี้ไว ๆ ต้องจ่ายอย่างสม่ำเสมอ
และสุดท้ายคือต้องหยุดสร้างหนี้เพิ่มให้กับตัวเอง ยกเว้นว่าจะจำเป็นจริง ๆ เช่น มีเหตุฉุกเฉินทางการเงิน หรือต้องกู้เพื่อนำเงินไปหมุนใช้จ่ายหนี้เดิม แต่หากสร้างหนี้ใหม่เพราะฟุ่มเฟือยและใช้เงินเกินตัวจะยิ่งทำให้ปัญหาหนี้สินบานปลายและแก้ไขได้ยากมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการปลดหนี้ เราจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิต และเปลี่ยนมาซื้อของด้วยเงินสดแทนเพราะเราจะรู้ว่าใช้เงินไปมากแค่ไหนแล้ว ซึ่งนอกจากจะช่วยควบคุมงบการใช้จ่ายเพื่อให้มีเงินไปปลดหนี้แล้ว ยังสามารถสร้างวินัยทางการเงินที่ดีให้กับตัวเองได้อีกด้วย
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money
เพื่อให้คุณ “การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney
ที่มา : SET, Make by Kbank