
ในยุคที่คำว่า “ลงทุน” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเทรดหุ้นของคนใส่สูท แต่กลายเป็นกิจกรรมของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาที่เริ่มเล่นคริปโตจากมือถือ มนุษย์เงินเดือนป้ายแดงที่หัด DCA กองทุนรายเดือน หรือแม้แต่คนที่หัดส่องหุ้นจาก TikTok แค่เพราะเพื่อนแชร์
ความรู้เรื่องการเงินในวันนี้เข้าถึงง่ายกว่าทุกยุค แต่ในขณะเดียวกัน โอกาสพังก็เยอะขึ้นไม่แพ้กัน เพราะความเร็วของข้อมูล และแรงกระตุ้นจากรอบตัวที่ผลักให้ “รวยเร็ว” กลายเป็นเป้าหมายหลักของใครหลายคน
บทความนี้ไม่ใช่เพื่อเตือนให้ “หยุดลงทุน” แต่จะพาไปเช็ก 5 พฤติกรรมยอดฮิต ที่นักลงทุนมือใหม่มักไม่รู้ตัว ว่าสุ่มเสี่ยงจะทำพอร์ตพังเสียเอง โดยอ้างอิงจากคำแนะนำของ Yuanta บริษัทหลักทรัพย์ที่มีประสบการณ์ในตลาดมายาวนาน
1. เทหมดหน้าตัก เพราะ “มั่นใจเกิน”
“มั่นใจแค่ไหนก็ไม่ควรใส่หมดตัว” ต้องบอกว่า หลายคนเข้าตลาดด้วยความมั่นใจในข้อมูลบางชุด หรือเชื่อใน "เซียน" ที่บอกว่าหุ้นตัวนี้ "มาแน่!" จนตัดสินใจเทเงินทั้งหมดลงไปในจุดเดียว ปรากฏว่าหุ้นกลับวิ่งสวนทาง หรือเจอข่าวร้ายไม่คาดคิด กลายเป็นหมดหน้าตักแบบไม่เหลือให้แก้มือ
เช่น บางคนลงทุนในคริปโตตัวเล็กๆ ตามที่ยูทูบเบอร์บอกว่าจะ 10x แต่พอเหรียญร่วงแบบไม่มีวี่แววฟื้น ก็กลายเป็นหายนะทั้งเงินทุนและกำลังใจ ทางออก จึงเป็นการจัดพอร์ตให้หลากหลาย อย่าเทหมดในสินทรัพย์เดียว หรืออย่างน้อย ควรเผื่อเงินสดไว้เสมอสำหรับการตั้งหลักใหม่
2. ไม่ยอมตัดขาดทุน เพราะ “เสียดาย”
“พอร์ตไม่พังเพราะขาดทุน แต่พังเพราะไม่กล้าขาย”ปัญหาคลาสสิกของนักลงทุน ที่เวลาหุ้นหรือสินทรัพย์ที่ซื้อไว้ราคาตก หลายคนเลือก "ถือไว้ก่อน" เพราะเสียดาย ทั้งที่สัญญาณเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานชี้ชัดว่าไม่ควรเก็บอีกต่อไป สุดท้ายจาก “ขาดทุนนิดเดียว” กลายเป็น “ขาดทุนเยอะจนไม่เหลืออะไร”
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด หุ้นบริษัทหนึ่งเคยฮิตช่วงโควิด แต่พอโครงสร้างธุรกิจเปลี่ยนไป นักลงทุนยังไม่ยอมขายเพราะหวังว่า “เดี๋ยวมันก็กลับมา” สุดท้ายติดดอยยาวเป็นปี
นี่เองถึงต้องวางจุด “Stop Loss” ที่ชัดเจน และยึดตามวินัย ไม่ใช่เอาความรู้สึกเสียดาย มาเล่น
3. เห็นเขาซื้อ...เราก็ซื้อ
“ตลาดหุ้นไม่ใช่ตลาดนัด อย่าซื้อเพราะเห็นคนอื่นซื้อ นี่คือพฤติกรรม “FOMO” (กลัวพลาดโอกาส) ทำให้หลายคนเข้าซื้อหุ้นหรือคริปโตแบบไม่มีแผน เพราะเห็นว่าเพื่อนในกลุ่มแชท หรืออินฟลูฯ คนโปรดบอกว่า “กำลังพุ่ง” จนลืมดูว่าเหมาะกับตนเองหรือไม่ หรือ ซื้อในจังหวะที่คนอื่นกำลังขาย
เทียบให้เห็นภาพ ตอนที่หุ้น AI หรือ EV บูม หลายคนเข้าไปซื้อในจุดสูงสุดเพราะกลัวตกขบวน แต่พอหุ้นเริ่มพักฐาน ก็ติดดอยแทบจะทั้งกลุ่ม จึงต้องมีระบบวิเคราะห์ของตัวเอง อย่าใช้ความรู้สึก หรือเสียงรอบตัว เป็นเหตุผลเดียวในการตัดสินใจ
4. เทรดทุกวัน หวังกำไรระยะสั้น
“อยากรวยเร็ว จนลืมว่าความเสี่ยงก็เร็วตาม” การเทรดบ่อยๆ หรือ "Day Trade" ต้องการทั้งความรู้ ประสบการณ์ และการควบคุมอารมณ์อย่างมาก แต่มือใหม่หลายคนกลับเข้าตลาดแบบไร้แผน เพราะเห็นว่าการเทรดเป็น “เกมทำเงิน” สุดท้ายหมดแรง หมดทุน และหมดกำลังใจ
คนที่เทรดทั้งวัน โดยไม่มีจุดเข้า-ออกที่ชัดเจน หวังฟลุคให้ได้กำไรในวันนั้น แต่สุดท้ายกลายเป็นเสียค่าธรรมเนียม+ขาดทุนสะสม ซึ่งหากนักลงทุนยังไม่มีระบบเทรดที่มั่นคง เน้นลงทุนระยะยาว และ DCA ตามแผน อาจเป็นทางที่ปลอดภัยกว่า
5. ไม่เคยหาความรู้เพิ่ม
“ตลาดเปลี่ยนทุกวัน ถ้าไม่เรียนรู้เพิ่ม คุณจะตกขบวนเสมอ”หลายคนคิดว่ารู้แล้วพอ แต่โลกของการลงทุนไม่มีคำว่า “พอแล้ว” เพราะทุกปีมีสินทรัพย์ใหม่ เครื่องมือใหม่ และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนเกมเสมอ คนที่ไม่เรียนรู้ จะกลายเป็นเหยื่อของความไม่รู้ในที่สุด
อย่างกรณี นักลงทุนที่ไม่เข้าใจความเสี่ยงของ “หุ้นกู้เอกชน” แต่ซื้อเพราะดอกเบี้ยสูง พอบริษัทเจอวิกฤต ก็กลายเป็นไม่ได้เงินคืน นักลงทุนจึงต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ทั้งการอ่าน ฟัง หรือเข้าร่วมกลุ่มที่แลกเปลี่ยนความรู้ ไม่ใช่แค่ติดตามข่าว แต่ต้องเข้าใจด้วย
สุดท้าย การตั้งเป้ารวยเร็ว ไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งที่พาทำให้พังเร็ว อาจเพราะนิสัย “คิดว่าเก่ง”นั่นเอง
ที่มา : yuanta.co.th