
เมื่อความมั่งคั่ง ความร่ำรวย คือเป้าหมายในชีวิตของใครหลายคน แม้จะไม่ใช่ยอดระดับสิบล้าน ร้อยล้าน หรือพันล้าน เพียงแค่มีเงินพอให้ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่มักจะติดหล่มที่ว่า ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน เก็บเงินก็แล้ว ลงทุนก็มี แต่ทำไมยังไปไม่ถึงเป้าหมายสักที
หรือแม้กระทั่งสำหรับคนที่การเงินในวันนี้ยังไม่มีปัญหา แต่สุดท้ายแล้วก็ยังได้รับผลกระทบทางอ้อมจากความจริงข้อหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้เลย นั่นคือ “คนไทยโดยเฉลี่ย ยังมีโอกาสไปไม่ถึงความมั่งคั่งได้ง่ายนัก”
ตอบคำถาม “เป็นคนไทย ทำไมถึงรวยยาก?” กับ ฟ้า ญาดา กาญจนิศากร นักวางแผนการเงินรุ่นใหม่ในงาน Thairath Money Roadshow 2025 ที่มาพูดคุยในประเด็น 3 กับดักทางการเงินที่คนไทยหนีไม่ได้ ไม่ใช่เพื่อบ่น ไม่ใช่เพื่อโทษใคร แต่เพื่อชวนตั้งคำถามว่า เราทุกคนจะสามารถทำอะไรกับมันได้บ้าง?
เพราะความมั่งคั่งไม่ใช่แค่เรื่องของความขยัน ความสามารถ หรือความโชคดีเท่านั้น แต่มันเป็นผลลัพธ์ของกระบวนการซับซ้อนที่โยงใยกับทั้งตัวบุคคล ครอบครัว โครงสร้างสังคม และระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง ฟ้า ญาดา ได้ชู 3 ประเด็นยังคงเป็นกับดักของคนไทยที่ทำให้เก็บเงินไม่อยู่ และไม่รวยสักที
“หนี้” ที่ไม่ได้สร้างความมั่งคั่ง แต่สร้างความอยู่รอด
เริ่มต้นทำความรู้จักภาพของ “คนไทยโดยเฉลี่ย” กันก่อนว่า หน้าตาทางการเงินของเขาเป็นอย่างไร?
เพียงแค่เริ่มต้นก็เห็นภาพแล้วว่า คนไทยจำนวนมากอยู่ในภาวะรายได้ไม่พอกับรายจ่ายตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งนำไปสู่กับดักด่านแรกของระบบการเงินไทย นั่นคือ “ปัญหาหนี้”
โดยเฉลี่ยแล้วคนไทย 1 คนมักมีหนี้อยู่ใน 3 บัญชี เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และบัตรเครดิต มูลค่าหนี้เฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 540,000 บาท หรือผ่อนหนี้เฉลี่ย 18,000 บาทต่อเดือน ทั้งที่รายได้ยังไม่พอรายจ่าย แต่ต้องผ่อนหนี้เฉลี่ยเท่ากับรายได้ทั้งเดือน
แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ มากกว่า 55% ของคนไทยเลือกแก้ปัญหาด้วยการกดเงินสดจากบัตรเครดิต ซึ่งหมายความว่าหนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการกู้เพื่อลงทุนหรือขยายโอกาส แต่เป็นหนี้เพื่อประคองชีวิตให้เดินหน้าต่อไป
แม้บางคนอาจมองว่าหนี้เหล่านี้เกิดจากพฤติกรรมฟุ่มเฟือย แต่หากมองลึกลงไปจะพบว่าต้นตอของปัญหาคือโครงสร้างรายรับรายจ่ายที่ไม่สมดุลตั้งแต่แรก หลายครอบครัวต้องกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนในการศึกษาให้ลูก หวังว่าจะเป็นการปลดล็อกชีวิตให้รุ่นถัดไป แต่เมื่อจบออกมาทำงานจริง รายได้กลับต่ำกว่าค่าครองชีพ ลูกจึงต้องแบกภาระหนี้แทนพ่อแม่ต่อ
ภาพของวัฏจักรหนี้นี้ยังซับซ้อนขึ้น เมื่อเทคโนโลยีทางการเงินเข้ามาเสริม เช่น ผ่อนจ่าย 0% ในการใช้งาน Buy Now Pay Later ในการช้อปปิ้ง แม้แต่การกินข้าวมื้อเดียวก็ยังสามารถผ่อน 6 เดือนได้ หลายคนเริ่มจากยอดเล็ก ๆ แต่เมื่อสะสมหลายรายการก็กลายเป็นภาระหนี้ก้อนใหญ่ที่ถอนตัวยากในที่สุด
ค่านิยมแบบไทย ๆ “เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้”
แม้ผ่านกับดักหนี้มาได้ แต่คนไทยยังต้องเผชิญกับกับดักอีกด่านที่ทรงพลังไม่แพ้กัน นั่นคือ “ค่านิยม” ที่ซ่อนอยู่ในการใช้ชีวิตของเราแทบทุกคน
หลายค่านิยมของคนไทยมีลักษณะคล้ายกัน คือ “Save face but not save funds” หรือ “เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้” ยกตัวอย่างเช่น
อีกหนึ่งค่านิยมที่ฝังรากลึกก็คือ “การออมผ่านลูก” คือ พ่อแม่หลายคนทิ้งแผนเกษียณตัวเองทันทีที่มีลูก มองว่าเมื่อเลี้ยงลูกดี ๆ แล้ว วันหนึ่งลูกจะกลับมาดูแลแทนในอนาคต แต่ในโลกความจริง เมื่อลูกเติบโตขึ้น เขาก็มีภาระของตัวเอง กลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้เขาต้องดูแลทั้งพ่อแม่และลูกของตัวเองไปพร้อมกัน เกิดเป็นปรากฏการณ์ Sandwich Generation ซึ่งรุ่นลูกจำนวนมากกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ภาวะนี้ไม่เพียงแต่บีบพื้นที่ในการเก็บเงินของตัวเองให้แคบลงเรื่อย ๆ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรทางการเงินที่ส่งต่อภาระจากรุ่นสู่รุ่นอย่างไม่รู้จบ
ความเหลื่อมล้ำฝังลึกในโครงสร้างประเทศ
ประเทศไทยติดอันดับต้น ๆ ของโลกในเรื่องความเหลื่อมล้ำ โดยพบว่า
อย่างไรก็ตาม ต่อให้รัฐบาลพยายามออกนโยบายสวัสดิการด้วยแอปพลิเคชันดิจิทัลมากแค่ไหน แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีแม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต หรือไฟฟ้าที่เพียงพอสำหรับเข้าถึงบริการเหล่านั้น
ความเหลื่อมล้ำจึงไม่ได้หยุดแค่เรื่องเงิน แต่ลุกลามเป็นความเปราะบางทางสังคม เมื่อประชาชนรู้สึกว่าเสียภาษีแต่ไม่ได้ประโยชน์โดยตรง รัฐต้องใช้ทรัพยากรอย่างซ้ำซ้อนเพราะความเหลื่อมล้ำทำให้มาตรการหนึ่งไม่สามารถช่วยทุกคนได้เท่าเทียม
แต่ที่น่ากังวลมากกว่านั้น คือ เมื่อความเหลื่อมล้ำคงที่ อัตราคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ร่างกาย เพศ ก็มีแนวโน้มคงที่ตามไปด้วย เฉลี่ย 20-30 คนต่อประชากร 100,000 คน จนในที่สุด ความเหลื่อมล้ำได้กลายเป็นปัญหาที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะมิติของเศรษฐกิจ แต่ลุกลามเป็นปัญหาสังคมที่ฝังลึกและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนไทยในวงกว้างด้วย
ฟ้า ญาดา ได้ยกตัวอย่าง เรื่องราวของ “คุณอ้อ” ที่สะท้อนให้เห็นว่ากับดักทางการเงินทั้ง 3 ด่านนั้นมีผลกระทบต่อชีวิตคนไทยอย่างไร
ฟ้า เล่าว่า คุณอ้อเริ่มต้นชีวิตการเงินด้วยเป้าหมายที่เรียบง่าย แค่เพียงต้องการมีเงินใช้จ่ายหลังเกษียณเดือนละ 30,000 บาท เพื่อไม่เป็นภาระใครในบั้นปลายชีวิตเท่านั้น แต่เป้าหมายที่ดูเหมือนเรียบง่ายนี้กลับยากเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเธอก็เหมือนคนไทยจำนวนมากที่ต้องเผชิญกับกับดัก 3 ด่าน ได้แก่
และแน่นอนว่า คุณอ้อไม่เคยแม้แต่ฝันว่าจะสามารถยกระดับฐานะของครอบครัวได้
จนเมื่อเริ่มต้นวางแผนการเงิน คุณอ้อไม่ได้เริ่มจากสูตรสำเร็จของการเก็บเงินทันที ไม่ได้บังคับตัวเองต้องเก็บเงิน 20% ของรายได้ตั้งแต่แรก ไม่ได้ตัดค่าใช้จ่ายแบบหักดิบ หรือแบ่งเงินออกเป็น 6 กระปุกตามทฤษฎี แต่เริ่มจากสิ่งง่ายที่สุด นั่นก็คือ “ยอมรับความจริง”
คุณอ้อเริ่มสำรวจรายรับรายจ่ายทั้งหมด และค่อย ๆ เปิดใจพูดคุยกับครอบครัวถึงเป้าหมายทางการเงินของตัวเอง เพื่อขอลดจำนวนเงินที่ต้องส่งกลับบ้านลง และเริ่มมีเงินเก็บสำหรับตัวเอง จนสามารถนำเงินที่เก็บออมจากการพูดคุยครั้งนั้น กลายมาเป็นเงินก้อนแรกของความมั่นคง
หรือกล่าวง่าย ๆ คือ คุณอ้อมีเงินสำรองฉุกเฉิน เริ่มลงทุนในกองทุนดัชนี มีประกันชีวิตเล่มแรกในชีวิต และยังมีเงินเก็บเพียงพอให้นำมาใช้ในยามฉุกเฉิน ตลอดจนสามารถวางแผนการลงทุนในระยะยาวได้
และเพียง 3 ปีหลังจากนั้น คุณอ้อที่เคยบอกตัวเองว่า “เก็บเงินไม่อยู่” ก็มีพอร์ตการลงทุนของตัวเองแตะหลักแสนเป็นครั้งแรก ซึ่งสิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่รายได้ แต่คือ ทัศนคติที่เธอกล้าเผชิญหน้ากับข้อจำกัดทางการเงิน และลงมือจัดการอย่างมีวินัย
“แม้ในวันนี้คุณอ้อจะยังไม่ใช่คนรวยในนิยามของสังคม แต่เธอกำลังเดินอยู่บนเส้นทางสู่ความมั่งคั่งที่เธอนิยามด้วยตัวเอง” ฟ้า ญาดากล่าว และนี่คือภาพสะท้อนว่า การจะรวยสำหรับคนไทยอาจไม่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราทำอะไรกับมันไม่ได้เลย
“หลายคนอาจมีภาระหนี้ที่ต้องรับแม้ในเวลาที่ยังไม่พร้อม หลายคนอาจกำลังต่อสู้กับค่านิยมที่กดดันให้ใช้จ่ายเกินตัว หลายคนอาจอยู่ในโครงสร้างทางสังคมที่ยังไม่เปิดโอกาสอย่างเท่าเทียม ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อให้เราท้อแท้ แต่เพื่อให้เราตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราจะยอมแพ้ หรือจะลงมือทำอะไรบางอย่างตั้งแต่วันนี้?” ฟ้า ญาดา กล่าว
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney