
“รายได้ของเราไม่มีทางเพิ่มทันเงินเฟ้อ” คือข้อเท็จจริงที่หลายคนรู้กันดี จึงเป็นต้นเหตุของการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ ผ่อน 0 เปอร์เซ็นต์ หรือแม้แต่ใช้ก่อนจ่ายทีหลัง จนกว่าจะรู้ตัวอีกที ชีวิตทางการเงินก็ติดลบ
จากข้อมูลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า กว่า 90% ของคนไทยมีเงินฝากไม่ถึง 50,000 บาท ทำให้หลาย ๆ คนยังอยู่ในภาวะตึงเครียด ยิ่งหนักเมื่อต้องเกษียณอายุ หรือเมื่อเกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึงต่าง ๆ ยิ่งทำให้ “ติดขัด”
โดยเฉพาะในกลุ่มที่ถูกเรียกว่า Sandwich Generation หรือกลุ่มคนวัย 40 - 50 ปี ที่มีภาระทางการเงินสูง ทั้งค่าใช้จ่ายส่วนตัวและครอบครัว
มีข้อมูลจาก BOT Symposium 2020 พบว่า หากแบ่งสัดส่วนหนี้คนไทยตามประเภทต่าง ๆ สามารถจำแนกได้เป็น …
ภูเบศ โอฬาริกานนท์ ผู้เชี่ยวชาญจากคลินิกแก้หนี้ by SAM ให้ข้อมูลว่า “ครอบครัว เป็นปัจจัยสำคัญของคำว่าหนี้ ทั้งในแง่บ่อเกิดหนี้ คือ การจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อนำมาใช้จ่ายกับครอบครัว รวมถึงความต้องการแก้หนี้ เนื่องจากทำให้ครอบครัวต้องแบกรับภาระหนัก”
สะท้อนได้จากตัวเลขหนี้ครัวเรือนในปัจจุบัน พบว่า หนี้ครัวเรือน 13.54 ล้านล้านบาท ในฐานข้อมูลเครดิตบูโรนี้ เป็นหนี้เสีย (NPL) ที่ค้างชำระเกิน 90 วันอยู่ 1.19 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% จากปีก่อนหน้า
ดังนั้น “หนี้” จึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่เป็นสิ่งที่ต้องถูกเล่าและได้รับการแก้ไข คลินิกแก้หนี้ by SAM จึงมีคำแนะนำถึงการบริหารหนี้อย่างถูกหลัก ตามคัมภีร์บริหารหนี้
“รู้” คือ การสำรวจหนี้ เพื่อรู้จักหนี้ในแต่ละประเภท โดยมีวิธีการง่าย ๆ คือการแจกแจงภาระหนี้ ซึ่งเรียงลำดับจากอัตราดอกเบี้ยจากมากไปน้อย เช่น บัตรกดเงินสด หรือ สินเชื่อเงินสด ที่มีอัตราดอกเบี้ย 25% ต่อปี ซึ่งอยู่ในระดับที่สูง เมื่อเปรียบเทียบกับสินเชื่อประเภทอื่น ๆ หากจ่ายขั้นต่ำอาจเกิดเป็นภาระหนี้ระยะยาว
หรืออย่าง “นาโนไฟแนนซ์” ที่มีจุดประสงค์ให้สินเชื่อแก่ประชาชนทั่วไปโดย ไม่ต้องมีหลักประกัน เน้นช่วยเหลือกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ที่มีดอกเบี้ยสูงถึง 33% ต่อปี และมีความยืดหยุ่นกว่าสินเชื่อประเภทอื่น ๆ การบริหารจัดการหนี้เหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
จะเห็นได้ว่าสินเชื่อแต่ละประเภทถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินของผู้กู้ในแต่ละสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ผู้กู้จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการหนี้อย่างรอบคอบ และเหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการกลายเป็นหนี้เสียในอนาคต
ข้อที่สองคือ “รับ” รับความจริงในการรับภาระหนี้ และหลีกเลี่ยงในการก่อหนี้เพิ่ม เนื่องจากมีภาระหนี้ของคนทั่วไป มักเกิดจากการอยากมีอยากได้ และใช้จ่ายจนเกินตัว ดังนั้น จำเป็นต้องรับความจริง และปรับรูปแบบการดำเนินชีวิต การหวังรวยทางลัด มักทำให้เราตกเป็นเหยื่อยภัยทางการเงิน
หลักต่อมาคือ “ปรับ” เจรจาปรับหนี้ หาวิธีที่เหมาะสม และเรียนรู้ในการใช้กลยุทธ์เจรจาปรับหนี้ เช่น การนำเงินก้อนมาปิดชำระหนี้ หรือ การขอลดอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น เพื่อหาแนวทางในการลดภาระหนี้อย่างเป็นระบบกับสถาบันการเงิน
โดยรูปแบบการปรับโครงสร้างหนี้ สามารถทำได้หลากหลายวิธีตามสถานะทางการเงินในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ในกรณีขยายระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ออกไป เนื่องจากรายได้ลดลง หรือการขอพักชำระหนี้ เมื่อเกิดวิกฤตฉุกเฉินทางการเงิน การรู้จักการปรับโครงสร้างหนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ช่วยให้ภาระทางการเงินผ่อนคลายลง
และหลักการข้อสุดท้าย คือ “แก้” แก้ไขพฤติกรรมทางการเงิน ซึ่งเป็นต้นตอของการก่อหนี้ เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำของวัฏจักรการเกิดหนี้โดยไม่จำเป็น
ซึ่งในปัจจุบันทั้งสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ต่างมีจุดมุ่งหมายร่วมกันเพื่อช่วยเหลือประชาชนในการแก้ไขปัญหาหนี้ ซึ่งหนี่งในหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ คือ
บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) ที่ริเริ่มโครงการ “คลินิกแก้หนี้ by SAM” ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยมีจุดมุ่งหมาย ในการเป็น One Stop Service หน่วยงานกลางประสานงานระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระของลูกหนี้
มีจุดเด่นคือแนวคิด “รวมเจ้าหนี้ไว้ที่เดียว ผ่อนที่เดียว” สามารถรวมหนี้เสียจากเจ้าหนี้หลายรายมาอยู่ภายใต้การดูแลเดียว พร้อมเสนออัตราดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้นเพียง 3% ต่อปี และมีแผนผ่อนชำระยืดหยุ่นตามกำลังของลูกหนี้
ผู้ที่เข้าร่วมจะต้องมีคุณสมบัติ เช่น เป็นบุคคลธรรมดาที่มีอายุไม่เกิน 70 ปี มีหนี้เสียจากบัตรเครดิตหรือสินเชื่อไม่มีหลักประกัน และมียอดหนี้รวมไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยสามารถสมัครผ่านเว็บไซต์ของโครงการได้โดยตรง ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาและช่วยจัดทำแผนชำระหนี้อย่างเป็นระบบ
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้