
เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินประโยคคลาสสิกนี้มาแล้วหลายรอบ“เกษียณแล้วต้องมีเงินใช้ไปตลอดชีวิต”
แต่ในความเป็นจริง มีข้อมูลเชิงประจักษ์ ว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยยังไปไม่ถึงฝั่งฝันนั้น เพราะกว่า 60% ไม่พร้อม “เกษียณ” เงินออมที่มีอยู่น้อยจนไม่แน่ใจว่าจะพอยืดไปได้ถึงอายุ 80 หรือ 90 ปี 100 ปี ได้
และต่อให้มีเงินเก็บอยู่บ้าง ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ชีวิตหลังเกษียณได้แบบ "สบายใจไร้กังวล" อย่างที่ใคร ๆ ใฝ่ฝันในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้นไม่หยุด เงินเฟ้อวิ่งไล่ตาม ทำให้เงินเก็บมูลค่าน้อยลงแต่คนเราก็อายุยืนขึ้นเรื่อยๆไหนจะค่าโรงพยาบาล ค่าจ้างคนดูแล โดยลืมไปว่า ผู้สูงอายุต้องใช้เงินดูแลสุขภาพจำนวนมาก
การวางแผนการเงินให้มั่นคงจึงกลายเป็น “ภารกิจสำคัญ” ที่ต้องเริ่มลงมือแต่เนิ่น ๆ และถ้าเราอยู่ในวัย 50+ ซึ่งเป็นช่วงที่มักพอมีเงินเก็บอยู่ในมือสักก้อนหนึ่งแล้ว นี่แหละ คือจุดเริ่มต้นที่ดีในการเปลี่ยน “เงินเก็บ”ให้กลายเป็น “รายรับ” ระยะยาว
ลองสังเกตดูได้ ช่วงหลังๆ เราจะเห็นคนรุ่นพ่อแม่หลายคน ที่ไม่ได้รอเกษียณแล้วนั่งเหงา ๆ อยู่บ้าน แต่กลับขับรถคันโปรด ไปจิบกาแฟร้านเก๋ หรือออกทริปต่างประเทศ นั่นเพราะเขาไม่ได้รอให้ชีวิตหลังเกษียณมาถึงแล้วค่อยหาทางรอด แต่เริ่มวางแผนไว้ล่วงหน้า
กลุ่มนี้ก็มีชื่อเรียกเก๋ ๆ ว่า “WOOF” หรือ “Well Off Older Folk” คือผู้สูงวัยที่มีฐานะดี มีรายได้สม่ำเสมอ ไม่มีหนี้สิน ไม่ต้องรับภาระค่าเล่าเรียนลูกหลานทำให้เขามีทั้งอิสระทางการเงิน และเวลาใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะเป็น WOOF ได้ตั้งแต่แรก สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือ "วินัยทางการเงิน" และ "กล้าลงทุนอย่างมีสติ" ตั้งแต่ยังไม่แก
วัย 50+ ยังลงทุนได้ไหม? คำตอบคือ “ได้” และ “ควร” ด้วยซ้ำเพียงแต่การลงทุนในวัยนี้ ไม่ใช่เรื่องของการหวังผลตอบแทนหวือหวาเหมือนวัยหนุ่มสาวเพราะ โอกาสฟื้นตัวจากการขาดทุนมีน้อยลง และเงินก้อนนี้อาจเป็นตัวหลักในการใช้จ่ายยามเกษียณ
ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ให้คำแนะนำเอาไว้ ถึงหลักการลงทุนสำหรับวัย 50+ โดยสิ่งที่ต้องคำนึง อยู่ภายใต้ 3 คำนี้เป็นพิเศษ
1. ความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ถ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองรับความเสี่ยงได้แค่ไหน ลองเริ่มต้นจากการประเมินตนเองผ่านแบบประเมินความเสี่ยงที่ธนาคารหรือบริษัทหลักทรัพย์มักมีให้
วัย 50+ ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่ม “เสี่ยงต่ำถึงปานกลาง” ซึ่งหมายความว่า การลงในสินทรัพย์มั่นคงอย่างตราสารหนี้ หรือกองทุนผสมแบบเน้นรายได้ประจำ มักเหมาะกว่าโยนเงินลงหุ้นเต็มพอร์ต
2. การกระจายการลงทุน
แทนที่จะเทเงินทั้งหมดลงในกองทุนเดียว หรือหุ้นตัวเดียว
ควรแบ่งพอร์ตกระจายไปในสินทรัพย์หลายประเภท เช่น
3. สภาพคล่อง
อย่าลืมเว้นเงินสดไว้ส่วนหนึ่งสำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน หรือค่าใช้จ่ายประจำในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันจะมาถึงเมื่อไหร่การมีเงินก้อนที่หยิบใช้ได้ทันที จะช่วยให้พอร์ตการลงทุนที่เหลือไม่ต้องถูกขายออกตอนขาดทุน
ถึงแม้จะไม่ได้เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 20 หรือ 30 แต่การเริ่มต้นตอนอายุ 50 ก็ยังทัน หากเดินเกมอย่างมีแบบแผน ยิ่งถ้าเราเป็นคนไม่มีหนี้ ไม่มีภาระลูกหลาน และพอมีเงินก้อน การให้เงินทำงานในช่วง 10-15 ปี ก่อนเกษียณเต็มตัว ก็เพียงพอจะต่อยอดให้มีเงินล้านเพื่อใช้ชีวิตหลังเกษียณได้ แค่เปลี่ยนวิธีคิดจาก “เก็บไว้ในบัญชีเฉย ๆ”มาเป็น “แบ่งมาลงทุนแบบคุมความเสี่ยง” ก็อาจสร้างผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อได้แล้ว
สรุปแล้ว วัย 50+ ไม่ใช่วัยที่สายเกินไปจะเริ่มลงทุน แต่ต้องลงทุนแบบมีสติ ยอมรับความเสี่ยงได้พอประมาณ เน้นกระจายความเสี่ยง และมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน อย่าเทหมดหน้าตัก แต่เลือกลงทุนให้เหมาะกับเป้าหมายระยะเกษียณแล้วชีวิตหลังเกษียณจะไม่ใช่แค่ “อยู่ได้” แต่จะ “อยู่ดี” และมีเงินใช้แบบไม่ต้องพึ่งลูกหลาน นั่นเอง
ที่มา : ก.ล.ต.
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney