
ประโยคที่ว่า “ลูกจำเป็นต้องให้เงินพ่อแม่ไหม?” “อกตัญญูมั้ย ถ้าพ่อแม่ขอเงิน จนไม่มีให้?” หรือแม้แต่ “หนี้พ่อแม่ ไม่ใช่หนี้ของเรา”
ล้วนสะท้อนถึงความซับซ้อนของค่านิยม “ความกตัญญู” ที่ถูกปลูกฝังมายาวนานในสังคมไทย กับวาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลพ่อแม่ยามชรา แต่ในวันนี้ คำถามเหล่านี้กลับถูกยกขึ้นมาถกเถียงอย่างเปิดเผย บ่งชี้ว่าแนวคิดเรื่อง “ความกตัญญู” กำลังถูกท้าทายและตีความใหม่ในบริบทสังคมที่เปลี่ยนไป
เพราะปัจจุบันสังคมไทยได้เปลี่ยนผ่านสู่สังคมเมืองและอุตสาหกรรม สภาวะเศรษฐกิจซบเซา โครงสร้างครอบครัวเล็กลง การแข่งขันทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ภาระค่าครองชีพสูงลิ่วสวนทางกับรายได้ที่เท่าเดิม หรือ ลดน้อยลง ทำให้ลูกหลานหลายคนต้องเผชิญกับความท้าทายทางการเงินอย่างหนัก
บางคนอาจมีหนี้สินจากการศึกษาหรือการสร้างเนื้อสร้างตัว ไม่รวมถึงการต้องดูแลครอบครัวของตนเอง เมื่อพ่อแม่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงิน ลูกหลายคนจึงตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ระหว่างความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกับความเป็นจริงที่บีบคั้น จนเกิดคำถามที่ว่า “ให้เงินพ่อแม่ = ลูกกตัญญู” แต่หากไม่มีจะให้ = อกตัญญูใช่หรือไม่ ?
แม้จะไม่มีผลสำรวจโดยตรงที่ชี้ชัดว่าคนไทย “ไม่เลี้ยงดูพ่อแม่” จะผิดหรือไม่ แต่ผลสำรวจหลายชิ้นสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการดูแลผู้สูงอายุ อย่างที่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC) เคยระบุว่า สังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ และมีแนวโน้มที่จะเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดในอนาคตอันใกล้ ซึ่งหมายถึงจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่จำนวนประชากรวัยแรงงานลดลง ภาระในการดูแลผู้สูงอายุจึงตกอยู่กับคนวัยทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “เดอะแบก” นั่นเอง
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจด้านหนี้ครัวเรือน ของธนาคารแห่งประเทศไทย มักชี้ให้เห็นว่าหนี้ครัวเรือนของไทยยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งสะท้อนถึงความตึงเครียดทางการเงินของครัวเรือนไทย การที่ลูกมีหนี้สินจำนวนมาก ย่อมส่งผลกระทบต่อความสามารถในการช่วยเหลือทางการเงินแก่พ่อแม่ด้วย
รวมทั้ง ผลสำรวจเกี่ยวกับสวัสดิการผู้สูงอายุ มักพบว่า แม้จะมีเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนมากยังต้องพึ่งพาลูกหลานในการดูแล
จากข้อมูลเหล่านี้ อาจกล่าวได้ว่า ความสามารถในการเลี้ยงดูพ่อแม่ของลูกหลานในปัจจุบัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเต็มใจเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับสถานะทางการเงินและภาระส่วนตัวของแต่ละบุคคลด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งของสังคมสูงวัย กลับมีกลุ่มผู้สูงอายุที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง กลุ่มนี้ไม่ได้เป็นภาระของลูกหลาน แต่กลับเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่น่าจับตามอง นั่นคือกลุ่ม "Well Off Older Folk" หรือ "WOOF"
โดย "WOOF" หมายถึงผู้สูงวัยตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ที่มีฐานะดี มีรายได้สูง ไม่มีหนี้สินหรือภาระค่าเล่าเรียนบุตรหลาน ทำให้พวกเขามีอิสระทั้งด้านเวลาและกำลังทรัพย์ในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและสร้างความสุขให้กับตนเองได้อย่างเต็มที่ WOOF จึงเป็นนิยามของคำว่า "แก่แบบมีคุณภาพ" อย่างแท้จริง
การเกิดขึ้นของกลุ่ม WOOF นี้เองที่เข้ามาลดทอนความกดดันในเรื่อง “ความกตัญญู” ที่เคยเป็นภาระหนักอึ้งของลูกหลาน เพราะผู้สูงอายุกลุ่มนี้สามารถพึ่งพาตนเองได้ และในบางกรณีอาจเป็นผู้ที่สามารถช่วยเหลือลูกหลานได้อีกด้วย การที่พ่อแม่มีอิสระทางการเงิน ทำให้ลูกหลานไม่ต้องเผชิญกับภาวะ เดอะแบก" เพียงลำพัง ซึ่งเป็นการปลดล็อกความหมายของความกตัญญูจากแค่การให้เงิน เป็นการดูแลกันและกันในมิติที่กว้างขึ้น
โดยแบรนด์และภาคธุรกิจต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงศักยภาพของกลุ่ม WOOF มากขึ้น จากรายงานและผลวิเคราะห์ตลาดที่ชี้ให้เห็นว่าพวกเขามีกำลังซื้อสูงและพร้อมที่จะใช้จ่ายกับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ โดยไม่ได้ยึดติดกับแบรนด์เดิม ๆ แต่เปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อาหาร เครื่องดื่ม เฟอร์นิเจอร์ ตั๋วเครื่องบินไปต่างประเทศ ฯลฯ
แม้จะมีฐานะดี แต่ WOOF ยังคงให้ความสำคัญกับการออมและการวางแผนทางการเงินเพื่อความมั่นคงในระยะยาว ซึ่งสะท้อนผ่านพฤติกรรม ดังนี้
ดังนั้นหาก Gen อื่นๆ ต้องการจะเป็น WOOF ในอนาคต เริ่มต้นได้ไม่ยาก ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า กลุ่ม WOOF เป็นอีกหนึ่งมิติที่ทำให้เราต้องกลับมาตีความเรื่อง "ความกตัญญู" เสียใหม่ หากในอดีตความกตัญญูหมายถึงการที่ลูกต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ยามชรา ในปัจจุบัน ความกตัญญูอาจขยายความรวมไปถึงการที่พ่อแม่เองก็ควรมีการวางแผนทางการเงินที่ดี เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้มากที่สุด และลดภาระของลูกหลานในยามที่สถานะทางการเงินของลูกหลานเองก็เผชิญความท้าทายไม่แพ้กัน
เพราะสุดท้ายแล้ว ความกตัญญูไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงการให้เงิน แต่คือความรัก ความเข้าใจ และความพยายามที่จะดูแลซึ่งกันและกันในรูปแบบที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละฝ่าย เพื่อให้ทั้งพ่อแม่และลูกสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
ดังนั้นอย่ารอให้ใครมาบอกว่าเรา “แก่อย่างไม่มีคุณภาพ” เราควรมีการวางแผนการเงินตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะในอนาคตหากเราเลือกที่จะสร้างครอบครัว หรือเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเพียงลำพัง เราก็จะไม่สร้างปัญหาให้ใคร โดยเฉพาะกับ “ตัวเอง”
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney