
ในช่วงที่กระแส YOLO หรือ "You only live once" เป็นคติการใช้ชีวิตที่กำลังมาแรงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือมนุษย์เงินเดือนที่ใช้ชีวิตหมดไปกับการทำงานในแต่ละวัน จนทำให้มีพฤติกรรมใช้เงินจนเกินตัว ด้วยความคิดที่ว่า “อยากซื้อก็จัด ประหยัดทำไม” หรือ “ชีวิตครั้งหนึ่งใช้ให้คุ้ม” และด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่ผันผวนในยุคปัจจุบัน หลายคนคงมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะรวยขึ้นมาได้ ทุกวันนี้ขอให้มีกินมีใช้ไปแต่ละวันก็คงพอ แต่อาจจะหลงลืมไปว่า เมื่อยามเกษียณ เราจะหาเงินจากไหนมาใช้จ่ายในแต่ละวัน
สำหรับ “วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ” นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทยคนแรก จึงแนะสูตรสำเร็จในการบริหารเงินอย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ด้วยความคิดที่ว่า คนไทยแก่ไป ต้องไม่จน
หัวใจของการออมเงินให้เติบโต คือ การเริ่มต้นให้เร็ว ออมให้สม่ำเสมอ และเลือกลงทุนให้เงินงอกเงย ยกตัวอย่าง หากออมเดือนละ 1,000 บาท เป็นเวลา 40 ปี ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี จะมีเงินสะสมเกือบ 7 ล้านบาท หากเพิ่มเป็นเดือนละ 2,000 บาท เงินจะพุ่งทะลุ 12 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทั้งจำนวนเงิน ระยะเวลา และผลตอบแทน ล้วนมีผลอย่างมากต่อความมั่งคั่งในอนาคต และนอกจากพฤติกรรมการออมที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอแล้ว แนวคิดที่เข้าใจเรื่องการออมก็เช่นกัน
“การออมในวันนี้ คือ การเสียสละความสุขในวันข้างหน้า และคนที่กล้าเสียสละคือคนที่รักตัวเองในอนาคต” วิวรรณ กล่าว
ในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเก็บเงินไว้เฉย ๆ อาจไม่พออีกต่อไป “การลงทุน” จึงเป็นอีกประเด็นสำคัญที่จะช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินระยะยาว แต่ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงอยู่มากมายเช่นนี้ การลงทุนจึงต้องทำอยู่บนพื้นฐานปัจจัย 5 ข้อ ดังนี้
1. รู้จักตัวเอง
ผู้ลงทุนควรเข้าใจตัวเองก่อนว่ารับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน เช่น หากอายุน้อย รายได้มั่นคง ไม่มีภาระหนัก อาจเลือกลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่หากอยู่ในวัยใกล้เกษียณ หรือมีภาระต้องรับผิดชอบ การลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอาจเหมาะสมกว่า รวมถึงต้องประเมินความวิตกกังวลของตัวเองให้ได้ เพราะทุกคนไม่สามารถรับความเสี่ยงในระดับเดียวกันได้
2. รู้จักลงทุน
“รู้จักสินทรัพย์ที่ลงทุน” ว่าให้ผลตอบแทน และมีความเสี่ยงในระดับไหน เช่น หุ้นเปรียบเสมือนการเป็นเจ้าของธุรกิจ พันธบัตรคือการปล่อยกู้ให้รัฐหรือบริษัท ส่วนทองคำหรืออสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นสินทรัพย์จริงที่มีมูลค่าในตัวเอง การลงทุนโดยไม่เข้าใจ อาจนำไปสู่ความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว
3. รู้จักพอร์ต
กุญแจสำคัญของข้อนี้คือ “การกระจายความเสี่ยง” ไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสิ่งเดียว และจัดสรรให้พอร์ตเหมือนสำรับข้าว ที่มีทั้งข้าวและกับ มีความหลากหลาย และอยู่ในสัดส่วนที่ต่างกัน ตามภาวะเศรษฐกิจ
4. ยึดปัจจัยพื้นฐาน
การลงทุนที่ดีต้องตั้งอยู่บนฐานของ “มูลค่าที่แท้จริง” ของสินทรัพย์ ไม่ใช่เพียงแค่ราคาตลาดในขณะนั้น การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจึงเข้ามามีบทบาท เช่น การพิจารณากำไรของบริษัท แนวโน้มธุรกิจ หนี้สิน ทรัพย์สิน กระแสเงินสด หรือแม้แต่คุณภาพของผู้บริหาร หนึ่งในแนวคิดสำคัญคือ หากมูลค่าทางทฤษฎี (Intrinsic Value) มากกว่าราคาตลาด ก็ถือเป็นโอกาสในการ “ซื้อ” แต่หากราคาตลาดสูงเกินมูลค่าจริง ก็อาจถึงเวลาที่ควร “ขาย” หรือหลีกเลี่ยง นี่คือหลักการพื้นฐานของนักลงทุนสายเน้นคุณค่า (Value Investor)
5. ไม่ตื่นตระหนก
ความผันผวนคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ราคาสินทรัพย์ขึ้นลงตามเศรษฐกิจ ข่าวสาร และความเชื่อมั่นของผู้คน แต่สิ่งหนึ่งที่เราควบคุมได้เสมอคือ “สติ” และการวางใจให้มั่นคงในแผนการเงินของตัวเอง
หากเป็นเงินที่ต้องใช้ภายใน 1 ปี เช่น เงินค่าเทอม เงินดาวน์บ้าน หรือเงินฉุกเฉิน ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ควรเลือกลงทุนในที่ปลอดภัย เช่น ฝากธนาคาร, กองทุนตลาดเงิน, หรือกองทุนพันธบัตรระยะสั้น (Term Fund) ที่มีอายุกำหนดไม่เกิน 1 ปี เพื่อรักษาเงินต้นให้คงอยู่ครบถ้วน
สำหรับเงินที่ตั้งใจเก็บไว้ใช้ในอีก 5–10 ปีขึ้นไป เช่น เงินเกษียณ หรือเงินซื้อบ้านในอนาคต ควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูง เช่น หุ้น หรือกองทุนผสม โดยให้ยึดแผนการเงินเป็นหลัก และไม่หวั่นไหวกับความผันผวนในระยะสั้น พร้อมทั้งปรับพอร์ตให้มีสินทรัพย์คุณภาพดี ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแรง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้พอร์ตในระยะยาว
ในผู้ลงทุนที่ต้องการนำเงินมาเทรด ต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัด ทั้งในเรื่องของการตัดขาดทุน เมื่อราคาลงต่ำกว่าจุดที่รับได้ และขายทำกำไรเมื่อถึงเป้าหมาย ไม่ควรใช้อารมณ์ตัดสินใจ
วิวรรณ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในปี 2568 นักลงทุนทั่วโลกยังต้องเผชิญกับความผันผวนที่ต่อเนื่องจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ดังนั้นการลงทุนในปีนี้จึงควรดำเนินไปด้วยความ “ระมัดระวัง” และตั้งอยู่บนพื้นฐานของการกระจายความเสี่ยงอย่างมีระบบ
“ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว” อย่างสหรัฐยังคงได้รับความสนใจ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แม้จะมีโอกาสเติบโต แต่ก็แฝงด้วยความผันผวนและโอกาสในการปรับฐาน นักลงทุนควรเลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแรง มีศักยภาพในระยะยาว
สำหรับ “ตลาดเกิดใหม่” ยังต้องจับตา เพราะแม้อาจได้แรงหนุนจากเม็ดเงินที่ไหลออกจากตลาดพัฒนาแล้ว แต่ปัจจัยเสี่ยงทั้งด้านเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ยังทำให้การเติบโตไม่แน่นอนในปีนี้
ในมุมมองของการจัดพอร์ต นักลงทุนควรเน้น “กลยุทธ์แบบ Cautious” คือ เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ลดน้ำหนักในสินทรัพย์เสี่ยงสูง และถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยบางส่วน เช่น เงินสด พันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารหนี้ที่มีอันดับเครดิตดี หลีกเลี่ยงตราสารที่ไม่มีการจัดอันดับ (non-rated) ซึ่งอาจมีความเสี่ยงแฝงสูง
พร้อมฝากข้อคิดตอนท้ายว่า “ออมให้พอ ใช้น้อยกว่า และลงทุนอย่างฉลาด” คือสมการที่ยังใช้ได้เสมอในทุก ๆ สถานการณ์ ดังนั้น นักออมทุกคนจึงต้องสร้างเกราะป้องกันที่เริ่มต้นที่จิตใจตัวเอง เพื่อนำไปสู่ความมั่นคงทางการเงินอย่างแท้จริง
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี" ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMone